วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

ความสุขอยู่ที่ใจ


แต่ละคนมีกิจกรรมในวันหยุดที่แตกต่าง   แต่ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดก็เพียงเพื่อให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ  และมีความผ่อนคลาย   วันนี้เป็นครั้งแรกของการไปเรียนสมาธิของลูกสาวที่เค้าแสดงความรู้สึกไม่อยากไป  เพราะสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการมีกิกรรมกีฬาสีที่โรงเรียนเมื่อวาน   อีกทั้งเพือนสนิทที่เรียนสมาธิด้วยกันก็ขอคุณแม่เค้าหยุดพักด้วยเหตุผลเดียวกัน   แต่ผู้เขียนได้ขอร้องแกมบังคับเค้าว่าอย่าหยุดเลย   วันนี้ที่หนูจะไปเรียนก็เพียงครึ่งวัน   ส่วนช่วงครึ่งวันบ่ายหนูก็จะได้ไปดูละครเวที่ " กุหลาบสีเลือด " ที่หนูอยากดู   การไปเรียนสมาธิมีประโยขน์กับหนูมากในอนาคต  ส่วนการชมละครก็ได้ความพึงพอใจ  ต้วผู้เขียนเองในฐานะแม่ย่อมอยากให้ในสิ่งที่ดีและเป็นความสุขของลูกเสมอ   ซึ่งการไปดูละครผู้เขียนก็สนใจแต่เนื่องด้วยมีบัตรเพียง 2 ใบ  จึงอยากมอบความสุขความพอใจใ้ห้เค้ากับพี่ชายมากกว่า  เพราะตัวผู้เขียนเองได้รับความสุขความพึงพอใจมามากแล้วสำหรับอายุในวัยนี้   การได้เห็นลูกๆมีความสุขก็พอใจแล้ว  และอยากให้โอกาสเค้าได้เรียนรู้ประสพการณ์หลากหลายด้วยตัวเค้าเองเช่นที่ผู้เขียนได้รับมาแล้ว   ส่วนตัวผูเขียนอยากอยู่บ้าน  ดูหนัง ดูสารคดี   แล้วก็เขียนบันทึกเรื่องต่างๆผ่านบล็อก   ซึ่งเรื่องที่นำมาเขียนส่วนมากก็คือเรื่องใกล้ตัวที่ผู้เขียนสนใจ    หรือเกิดกับผู้เขียนเอง   และผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในด้านสาระและความบันเทิง   จึงนำมาเขียนถ่ายทอดอีกที   ส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้ความรู้จากสิ่งที่ผู้เขียนสนใจและไปค้นคว้าเพิ่มเติมมาด้วย    เรียกได้ว่าองค์ประกอบเหล่านี้ก็ช่วยให้เราพัฒนาสมองขึ้นมาด้วย   แล้วยังนำพาความสุขใจมาให้เรา   ที่เห็นลูกได้รับโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตจากการเเรียนสมาธิ  และได้มีโอกาสใช้ชีวิตกับสิ่งบันเทิงที่หลายๆคนในสังคมชื่นชอบ  ก็ขอให้เค้าลองพิจารณา   เค้าไม่ได้โต้ตอบแค่เห็นเค้าเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวเพียงว่า  หนูจะออกไปแล้ว    ผู้เขียนเองไม่สบายใจเล็กน้อยที่เห็นน้ำตาลูก  แต่มั่นใจว่าอยากให้สิ่งที่ดี   และอยากให้เค้าเข้าใจการใช้กรอบชีวิตที่ถูกต้อง  จึงบอกเค้าว่าไปเถอะ  แม่เพื่อนเค้าออกมารอรับที่สถานีรถไฟฟ้าเพื่ิอรับไปวัดด้วยกันแล้ว   ซึ่งแม่เพื่อนเค้าเองก็ยังอดกล่าวไม่ได้ว่าอยากให้น้องเมย์เข้มแ็ข็งอย่างลูกสาวผู้เขียนบ้าง   ตัวผู้เเขียนเองเข้าใจอารมณ์ว่าเค้าเองก็เพิ่ง 14  เท่านั้น  และ หลักสูตรนี้เป็นของรุ่นอายุ 20 ปีขึ้น  ก็มีเพียงเค้า 2 คน  กับแม่เพื่อนอีก 3 คน  กับผู้ใหญ่และผู้ใหญ่  จึงคงไม่สนุกนักกับสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยพร้อมนักในวันนี้   แต่เห็นว่าถ้าพร้อมออกไปดูละครเวที ก็น่าจะเพียงพอต่อการเรียนสมาธิเพียง 2-3 ชั่วโมงในช่วงเช้า    แล้วพอใกล้เที่ยงเค้าก็โทรมาบอกเรียนเสร็จแล้ว   ก็เลยบอกให้เค้าลง BTS สถานีที่ใกล้กับสถานที่ ที่มีการแสดงเพื่อรอให้พี่ชายเค้าออกไป   โดยไปนั่งทานอะไรแถว Terminal 21 ก่อน  น้ำเสียงเค้าก็ดูมี่ความสุขดึ    ผู้เขียนเองพอได้ฟังน้ำเสียงเค้าก็สุขใจเช่นกัน    นี่แหละค่ะความสุขของแต่ละคน   ก็แค่อยู่ที่ว่าเราตั้งระดับความพอใจของเราไว้ที่ไหน   บางครั้งผู้เขียนมองคนในสังคมแล้วรู้สึกว่าเค้าไม่มีความสุข มิหนำซ้ำกลายเป็นทำร้ายตัวเองเพราะเค้าไปตั้งกรอบ หรือมาตรฐานแห่งความพอใจของเค้ามากหรือสูงเกินไป  และวันนี้นำข้อคิดเล็กๆน้อยๆมาฝากหลายๆท่านที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีความสุขกับการทำงานมาฝากค่ะ   เผื่อจะช่วบให้ท่านผู้อ่านมีมุมมองที่กว้างขึ้น  และสร้างความสุขในการทํางานด้วยการบริหารตนเอง 

 ทคนิคการสร้างความสุขในการทํางานด้วยการบริหารตนเอง (Techniques for Improving Happiness in the Workplace)

คุณ เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า…คุณมีความสุขกับงานที่ทำอยู่หรือไม่? คุณมีพฤติกรรมอย่างไรเมื่อคุณทำงานแล้วไม่สนุกกับสิ่งที่ทำ? คุณรู้สึกหดหู่หรือเบื่อหน่ายเมื่อคุณกำลังก้าวเข้าออฟฟิตของคุณบ้างไหม? คุณรู้สึกไหมว่าช่วงเวลาในการทำงานของคุณช้ามาก? คุณเป็นคนที่ชอบหาโอกาสที่จะลางานอยู่เสมอหรือไม่?

ทั้งหมดนี้เป็นคำถามเพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวคุณเองว่าคุณกำลังมีความสุขหรือ ความทุกข์ในชีวิตการทำงานของคุณ   และคุณเองนั่นแหละที่จะบอกได้ว่าคุณกำลังมีความสุขและสนุกกับช่วงวันเวลาใน การทำงานของคุณอยู่หรือไม่
 

++ทุกข์…สุข อยู่ที่ใจ….คงไม่มีใครที่จะทำให้คุณมีความสุขหรือความทุกข์ได้นอกจาก "จิตใจของคุณเอง" ซึ่งเป็นความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อบุคคล สิ่งของ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คุณเข้าไปสัมผัส ทั้งนี้โดยทั่วไปคุณจะปล่อยให้จิตเป็นนายคุณ …. นั่นแหละที่คุณจะปล่อยให้ความรู้สึกต่าง ๆ เข้ามามีผลทำให้คุณมีความสุขหรือความทุกข์ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างตัว คุณ
ดังนั้นการบริหารหรือควบคุมจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความสุขและสนุกกับงานที่กำลังทำอยู่ ดังนั้นคุณควรฝึกอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้จิตเป็นนาย…กายเป็นบ่าว…...โดยมีเทคนิคและวิธีการง่าย ๆ ดังนี้

1. "อย่า" คิดเล็กคิดน้อย" กับเรื่องเล็กน้อย (Don't be petty Minded) 
 

คุณ อย่าเก็บเอาเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิดซะทุกเรื่อง พยายามอย่าเอาคำพูดหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมาเป็นอารมณ์ ให้คิดเสียว่ามันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป.. หากคุณมัวแต่เอาเวลามาคิดว่า วันนี้นายมาต่อว่าคุณทำงานแย่มาก ลูกค้าบ่นว่าคุณพูดจาไม่สุภาพ เพื่อนร่วมงานชอบพูดจาเสียดสีคุณ…ย่อมแน่นอนว่าคุณจะไม่มีเวลาในการคิดพัฒนา งานของคุณเลย คุณควรจะ "คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก" โดยฝึกคิดแต่สิ่งที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในหน้าที่ การงานจากสังคมหรือคนรอบข้างตัวคุณ ดังนั้นคุณควรใช้เวลาในแต่ละวันกับการคิดถึงเป้าหมายของคุณและ คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้คุณเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้จะดีกว่า และความคิดเหล่านี้เองมันจะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน   สนุกกับสิ่งที่คุณทำอยู่ตลอดเวลา

2. "อย่า" ต่อว่าองค์กร (Don't blame the company)

มีหลายต่อหลายคนที่มีความรู้สึกไม่รักในองค์กรที่กำลังทำงานอยู่ คุณไม่มีความรู้สึกผูกพันกับองค์กร และมีความรู้สึกว่า "ทนอยู่" เพื่อ รอรับเงินเดือนเมื่อครบสิ้นเดือนเท่านั้น คุณมักจะต่อว่าหรือพูดถึงองค์กรของคุณในทางที่ไม่ดี….ปรับเงินเดือนน้อย ให้โบนัสแค่นี้เอง บริษัทน่าจะมี…อย่างโน้น อย่างนี้…และอื่น ๆ อีกมากมาย…คุณอย่าลืมว่าคุณเองเลือกที่จะทำงานอยู่ในองค์กรแห่งนี้ซึ่งอาจ ถือได้ว่าเป็นบ้านที่สองของคุณ โดยคุณต้องใช้เวลาอยู่ในบ้างที่สองแห่งนี้อาจมากกว่าเวลาที่คุณอยู่ในบ้านของคุณเสียอีก และเพราะคุณเลือกที่จะทำงานในองค์กรนี้… แล้วทำไมคุณไม่เลือกที่จะรักในองค์กรที่คุณกำลังใช้ชีวิตร่วมด้วย คุณอย่าบอกว่าทนทำงานอยู่ในองค์กรนั้น ๆ เพราะว่าคุณไม่มีที่ไป ดังนั้นขอให้คุณย้อนคิดไปว่าไม่มีองค์กรไหนที่เห็นความสำคัญของตัวคุณ นอกจากองค์กรที่คุณกำลังทำงานอยู่ เพราะเค้ารับคุณและยอมให้คุณมาร่วมงานด้วยซึ่งเค้าเห็นศักยภาพและความสามารถ ของตัวคุณเอง….องค์กรของคุณให้โอกาสคุณ ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่น ๆ ที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับคุณ…คิดเพียงเท่านี้ คุณจะมีความรู้สึกดี ๆ กับองค์กรของคุณ อาจไม่ถึงขนาดว่าจะต้องรักหรือผูกพันก็ได้ (ไม่ห้ามกัน)…ซึ่งจะช่วยให้คุณมีความสุขในการทำงานให้กับองค์กรของคุณเอง

3. "อย่า" เลือกทำงานที่รัก (Love the work that you do and don't do only the work that you love)

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถเลือกทำงานที่ตนเองรักได้ ขอให้คุณเลือกที่จะรักงานที่คุณทำ และเพื่อให้คุณมีความสุขและรู้สึกสนุกกับงานที่คุณกำลังทำอยู่ ขอให้คุณพิจารณาในสิ่งต่อไปนี้
 

1. งานที่คุณกำลังทำคืออะไร
2. ประโยชน์อะไรที่คุณได้จากการทำงานนั้น ๆ
3. คุณมีวิธีในการพัฒนาปรับปรุงงานของคุณอย่างไร
4. คุณต้องปรับปรุงศักยภาพหรือความสามารถในด้านใดบ้าง
5. คุณจะหาวิธีการในการเรียนรู้งานใหม่ ๆ ได้อย่างไร
6. งานที่ทำอยู่มีอะไรบ้างที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์กับเป้าหมายของคุณในอนาคต

ขอให้คุณใช้เวลาในการคิดและหาคำตอบจากคำถามเหล่านี้ แล้วคุณจะพบ "คุณค่า (Value)" ที่ เกิดขึ้นในตัวคุณ ซึ่งคุณค่าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตัวคุณนี้เองจะทำให้คุณทำงานอย่างมีความสุข มีความตื่นตัวและกระตือรือร้นในการทำงานอยู่เสมอ มีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองและการทำงานให้ดีขึ้น และพร้อมที่จะเรียนรู้งานใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

4. "อย่า" ให้ร้ายหัวหน้างาน (Don't belittle your boss)

หัว หน้างานมีหลายประเภท หลากหลายรูปแบบ…หัวหน้าเจ้าอารมณ์…หัวหน้าสั่งอย่างเดียว หัวหน้าชอบคนประจบ…หัวหน้าที่วันวันทำแต่งาน….ซึ่งในชีวิตของการทำงานคุณคง จะเลือกทำงานกับหัวหน้างานในแบบฉบับที่คุณชอบไม่ได้อย่างแน่นอน คุณมักจะพบเจอกับหัวหน้างานหลากหลายประเภทที่อาจทำให้คุณกุมขมับอยู่ทุกวัน นั่นอาจเป็นเพราะคุณเข้ากับหัวหน้าของคุณไม่ได้ หรือคุณมีความรู้สึกว่าหัวหน้างานของคุณน่าจะทำอย่างโน้น อย่างนี้ (เค้าน่าจะสอนงานคุณ เค้าน่าจะทำงานและรู้งานมากกว่าคุณ เค้าควรจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณ)…ไม่ควรทำอย่างโน้น อย่างนี้ (เค้าไม่ควรพูดแบบนี้..เค้าไม่ควรสั่งงานคุณอย่างนี้) มีหลากหลายประเภทที่คุณจะพบเจอในองค์กรของคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง ไม่ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือคุณควรเข้าใจในเหตุผลของความคิดและการกระทำของหัว หน้างานของคุณเอง…คุณควรเคารพและให้เกียรติหัวหน้าคุณ คอยสนับสนุนและช่วยเหลือหัวหน้าคุณเท่าที่จะทำได้

5. "อย่า" ดูถูกเพื่อนร่วมงาน หรือคนรอบข้าง (Don't look down at your colleagues)

ไม่ มีใครที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานโดยลำพัง แน่นอนว่าความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นจากความร่วมมือของบุคคลรอบข้างตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือในด้านการให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ ซึ่งคุณควรมองคนที่คุณค่าของเค้า อย่าดูถูกความคิดหรือความสามารถของคนอื่น ทุกคนมีทักษะและความชำนาญในงานที่แตกต่างกัน คุณทำงานของคุณได้   แต่คุณอาจไม่สามารถทำงานของคนอื่นได้ เช่น คุณสามารถทำงานบัญชีได้ แต่คุณอาจไม่สามารถทำงานคอมพิวเตอร์ได้ เป็นต้น ดังนั้นคุณควรให้เกียรติเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างคุณที่คุณต้องประสานงาน หรือติดต่อด้วย พยายามอย่าเอาการศึกษามาวัดที่ค่าของคนหรือความสามารถของคน (มีปัจจัยอื่น ๆ ที่ใช้วัดความสามารถของคน นอกจากการศึกษา เช่น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ (Emotional Quotient: EQ) ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)…ขอให้คุณศึกษาและปรับตัวให้เข้ากับคนได้ทุกประเภทและ ทุกระดับ

ดัง นั้นหากคุณมีความคิดที่ดี  และการกระทำแต่สิ่งที่ดีต่อองค์กร หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน/คนรอบข้าง และตัวงานของคุณเอง…เพียงเท่านี้…คุณเองย่อมจะมีความสุขและสนุกกับชีวิตใน การทำงานของคุณ


*** ติดต่อผู้เขียนblog/สมัครสมาชิก Global Rich Club โทร 087-4949-220หรือmitang41@gmail.com***
written September 8,2012