วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันลอยกระทงจ้า



พรุ่งนี้เป็นวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 ตามปีสุริยะคติ  แต่หากนับทางจัทรคติจะตรงกับวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12  ซึ่งเป็นวันที่เรากำหนดให้เป็นวันแห่งความรื่นเริงอีก 1 วัน อันเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวไทยหรือแม้แต่ชาวต่างชาติบางกลุ่มในชื่อว่า  วันลอยกระทง  ซึ่งเป็นงานเทศกาลแห่งความสุขและรื่นเริง ลอยกระทงเป็นประเพณีที่มีมายาวนาน บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เรียกได้ว่าเริ่มมีประวัติศาสตร์ชาติไทยขึ้นมาก็มีประเพณีลอยกระทงกันเลยทีเดียว   

ประเพณีลอยกระทง มิได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่า ก็มีการลอยกระทงคล้ายๆ กับบ้านเรา จะต่างกันบ้าง ก็คงเป็นเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทง ก็มาจากความเชื่อที่หลากหลายเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้รวบรวมมาบอกเล่าให้ทราบกันดังต่อไปนี้
ทำไมถึงลอยกระทง การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า ปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่ง ก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตกต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, เป็นบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดา
ลอยกระทง 2555

นอกจากนี้ ลอยกระทง ก็ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อ บูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทง เพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์ ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไปด้วย
พระยาอนุมานราชธน ได้สันนิษฐานว่า ต้นเหตุแห่งการลอยกระทง อาจมีมูลฐานเป็นไปได้ว่า การลอยกระทงเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาที่น้ำเจิ่งนองพอดี ก็ทำกระทงลอยไปตามกระแสน้ำไหล เพื่อขอบคุณแม่คงคา หรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้ความอุดมสมบูรณ์ เหตุนี้ จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก และเมื่อเสร็จแล้ว จึงเล่นรื่นเริงด้วยความยินดี เท่ากับเป็นการสมโภชการงานที่ได้กระทำว่า ได้ลุล่วงและรอดมาจนเห็นผลแล้ว ท่านว่าการที่ชาวบ้านบอกว่า การลอยกระทงเป็นการขอขมาลาโทษ และขอบคุณต่อแม่คงคา ก็คงมีเค้าในทำนองเดียวกับการที่ชาติต่างๆ แต่ดึกดำบรรพ์ได้แสดงความยินดี ที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ จึงได้นำผลผลิตแรกที่ได้ ไปบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ เพื่อขอบคุณที่บันดาลให้การเพาะปลูกของตนได้ผลดี รวมทั้งเลี้ยงดูผีที่อดอยาก และการเซ่นสรวงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เสร็จแล้วก็มีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอง
ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อน เรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวง ตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป
ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว ในหนังสือตำรับท้าวศรี จุฬาลักษณ์ หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระสนมเอก ของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่า เป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำ ตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน และได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลาย ตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียน นำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศพระสนมเอก ก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษ ที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็น ก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า “แต่ นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน” ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏมาจนปัจจุบัน


ตำนานและความเชื่อ จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การลอยกระทง ในแต่ละท้องที่ก็มาจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน บางแห่งก็มีตำนานเล่าขานกันต่อๆมา ซึ่งจะยกตัวอย่างบางเรื่องมาให้ทราบ ดังนี้
เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง กล่าวคือก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา กาลวันหนึ่ง นางสุชาดาอุบาสิกาได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาส (ข้าวกวนหุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยหมดแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากวันใดจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ด้วยแรงสัตยาธิษฐาน และบุญญาภินิหาร ถาดก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเล แล้วก็จมไปถูกขนดหางพระยานาคผู้รักษาบาดาล
พระยานาคตื่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นอะไร ก็ประกาศก้องว่า บัดนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลกอีกองค์แล้ว ครั้นแล้วเทพยดาทั้งหลายและพระยานาค ก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระยานาคก็ได้ขอให้พระพุทธองค์ ประทับรอยพระบาทไว้บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นมาถวายสักการะได้ พระองค์ก็ทรงทำตาม ส่วนสาวใช้ก็นำความไปบอกนางสุชาดา ครั้นถึงวันนั้นของทุกปี นางสุชาดาก็จะนำเครื่องหอม และดอกไม้ใส่ถาดไปลอยน้ำ เพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำเสมอมา และต่อๆ มาก็ได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทง ตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ในเรื่องการประทับรอยพระบาทนี้ บางแห่งก็ว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ เมื่อจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์จากพระองค์ไว้บูชา พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิษฐาน ประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกนาคทั้งหลาย จึงพากันบูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้ จึงได้ทำการบูชารอยพระบาทสืบต่อกันมา โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป ส่วนที่ว่าลอยกระทงในวันเพ็ญ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ หลังการจำพรรษา 3 เดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดานั้น ก็ด้วยวันดังกล่าว เหล่าทวยเทพและพุทธบริษัท พากันมารับเสด็จนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา และเป็นวันที่พระพุทธองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์ และนรกด้วยฤทธิ์ของพระองค์ คนจึงพากันลอยกระทง เพื่อเฉลิมฉลองรับเสด็จพระพุทธเจ้า
สำหรับคติที่ว่า การลอยกระทงตาม ประทีป เพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ว่าเป็นเพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาด ลอยไปในอากาศตามที่ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตาม ประทีป คือ การจุดประทีป หรือจุดไฟในตะเกียง /โคม หรือผาง-ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ซึ่งทางเหนือของเรา มักจะมีการปล่อยโคมลอย หรือโคมไฟที่เรียกว่า ว่าวไฟ ขึ้นไปในอากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย
เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า พิธีลอยประทีปหรือตามประทีปนี้ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม เป็นประเภทคู่กับลอยกระทง ก่อนจะลอยก็ต้องมีการตามประทีปก่อน ซึ่งตามคัมภีร์โบราณอินเดียเรียกว่า “ทีปาวลี” โดย กำหนดทางโหราศาสตร์ว่า เมื่อพระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤกษ์เมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลาตามประทีป และเมื่อบูชาไว้ครบกำหนดวันแล้ว ก็เอาโคมไฟนั้นไปลอยน้ำเสีย ต่อมาชาวพุทธเห็นเป็นเรื่องดี จึงแปลงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท และการรับเสด็จพระพุทธเจ้า ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยมักถือเอาเดือน 12 หรือเดือนยี่เป็งเป็นเกณฑ์ (ยี่เป็งคือเดือนสอง ตามการนับทางล้านนา ที่นับเดือนทางจันทรคติ เร็วกว่าภาคกลาง 2 เดือน)
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของพม่า เล่าว่า ครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระประสงค์จะสร้างเจดีย์ให้ครบ 84,000 องค์ แต่ถูกพระยามารคอยขัดขวางเสมอ พระองค์จึงไปขอให้พระอรหันต์องค์หนึ่ง คือ พระอุปคุตช่วยเหลือ พระอุปคุตจึงไปขอร้องพระยานาคเมืองบาดาลให้ช่วย พระยานาครับปาก และปราบพระยามารจนสำเร็จ พระเจ้าอโศกมหาราช จึงสร้างเจดีย์ได้สำเร็จสมพระประสงค์ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 12 คนทั้งหลายก็จะทำพิธีลอยกระทง เพื่อบูชาคุณพระยานาค เรื่องนี้ บางแห่งก็ว่า พระยานาค ก็คือพระอุปคุตที่อยู่ที่สะดือทะเล และมีอิทธิฤทธิ์มาก จึงปราบมารได้ และพระอุปคุตนี้ เป็นที่นับถือของชาวพม่า และชาวพายัพของไทยมาก
เรื่องที่สี่ เกิดจากความเชื่อแต่ครั้งโบราณในล้านนาว่า เกิดอหิวาต์ระบาด ที่อาณาจักรหริภุญชัย ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่ไม่ตายจึงอพยพไปอยู่เมืองสะเทิม และหงสาวดีเป็นเวลา 6 ปี บางคนก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น ครั้นเมื่ออหิวาต์ได้สงบลงแล้ว บางส่วนจึงอพยพกลับ และเมื่อถึงวันครบรอบที่ได้อพยพไป ก็ได้จัดธูปเทียนสักการะ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคดังกล่าวใส่ สะเพา ( อ่านว่า “ สะ - เปา หมายถึง สำเภาหรือกระทง ) ล่องตามลำน้ำ เพื่อระลึกถึงญาติที่มีอยู่ในเมืองหงสาวดี ซึ่งการลอยกระทงดังกล่าว จะทำในวันยี่เพง คือ เพ็ญเดือนสิบสอง เรียกกันว่า การลอยโขมด แต่มิได้ทำทั่วไปในล้านนา ส่วนใหญ่เทศกาลยี่เพงนี้ ชาวล้านนาจะมีพิธีตั้งธัมม์หลวง หรือการเทศน์คัมภีร์ขนาดยาวอย่างเทศน์มหาชาติ และมีการจุดประทีปโคมไฟอย่างกว้างขวางมากกว่า (การลอยกระทง ที่ทางโบราณล้านนาเรียกว่า ลอยโขมดนี้ คำว่า “ โขมด อ่านว่า ขะ-โหมด เป็นชื่อผีป่า ชอบออกหากินกลางคืน และมีไฟพะเหนียงเห็นเป็นระยะๆ คล้ายผีกระสือ ดังนั้น จึงเรียกเอาตามลักษณะกระทง ที่จุดเทียนลอยในน้ำ เห็นเงาสะท้อนวับๆ แวมๆ คล้ายผีโขมดว่า ลอยโขมด ดังกล่าว)
รื่องที่ห้า กล่าวกันว่าในประเทศจีนสมัยก่อน ทางตอนเหนือ เมื่อถึงหน้าน้ำ น้ำจะท่วมเสมอ บางปีน้ำท่วมจนชาวบ้านตายนับเป็นแสนๆ และหาศพไม่ได้ก็มี ราษฎรจึงจัดกระทงใส่อาหารลอยน้ำไป เพื่อเซ่นไหว้ผีเหล่านั้นเป็นงานประจำปี ส่วนที่ลอยในตอนกลางคืน ท่านสันนิษฐานว่า อาจจะต้องการความขรึม และขมุกขมัวให้เห็นขลัง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีๆสางๆ และผีก็ไม่ชอบปรากฏตัวในตอนกลางวัน การจุดเทียนก็เพราะหนทางไปเมืองผีมันมืด จึงต้องจุดให้แสงสว่าง เพื่อให้ผีกลับไปสะดวก ในภาษาจีนเรียกการลอยกระทงว่า ปล่อยโคมน้ำ (ปั่งจุ๊ยเต็ง) ซึ่งตรงกับของไทยว่า ลอยโคม จากเรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญู ระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทนคุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้า หรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่าเป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชน ได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวงนั่นเอง

ประเพณีลอยกระทง นอกจากจะเป็นประเพณีที่มีคุณค่า ในเรื่องการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้ว ประเพณีนี้ยังมีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสานาด้วย เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน หรือในบางท้องที่ที่มีการทำบุญ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนา และในหลายๆ แห่งก็ถือเป็นโอกาสดีในการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำลำคลองไปด้วย


 ผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกเป็นสุขและรื่นเริงกับวันอันมีความหมายนี้ทุกปี  โดยจะพาคนในครอบครัวไปลงเรือใหญ่ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา  จนถึงประมาณช่วงสะพานพระราม 8  แล้วเรือใหญ่ก็จะหยุดแล่นให้เราอธิษฐานก่อนหย่อนกระทงลงแม่น้ำ  ซึ่งการล่องเรือนี้เราจะมองเห็นความงดงามของอาคารที่ประดับไฟริมฝั่งแม่น้า   กระทงเล็กกระทงน้อยที่คนอื่นๆนำมาลอย   แล้วยังได้เห็ความ งดงามของดอกไม้ไฟที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าเป็นระยะๆ   ก่อนหย่อนกระทงลงแม่น้ำก็อธิษฐานเพื่อความสุขความสำเร็จของตนและครอบครัว ก่อนนะคะ  ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุข สนุกสนานในวันลอยกระทงทุกท่านค่ะ   ท่านี่เข้าไปอ่านบทความอาจจะสงสัยถ้าไปอ่านบทความจาก  http://grcbangkok.blogspot.com ว่าทำไมเนื้อความเหมอนกัน  เหตุผลและคำตอบคือคนเขียนเป็นคนเดียวกันค่ะ  แล้วพบกันในบทความใหม่ค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชวนเที่ยวสิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นเมืองที่ไม่หยุดนิ่งและอุดมไปด้วยความแตกต่างและสีสัน คุณจะพบกับความผสมผสานอย่างกลมกลืนของวัฒนธรรม อาหาร ศิลปะ และสถาปัตยกรรมได้ที่นี่ เกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ถูกปลดปล่อย เป็นเสมือนกลจักรขนาดจิ๋วของเอเชียอาคเนย์ที่รวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดของโลกตะวันตกและตะวันออกเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งจะมีแหล่งท่องเที่ยวในย่านต่างๆดังนี้


เมืองไชน่าทาวน์

เมืองไชน่าทาวน์

เมืองไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์ก่อตั้งขึ้นราวปี ค.ศ.1821 เมื่อ เรือจีนลำแรกเดินทางมาจากเซี่ยเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน ผู้โดยสารเป็นชายทั้งหมด พวกเขาสร้างบ้านขึ้นที่ตอนใต้ของแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) ซึ่งปัจจุบันเรียกบริเวณนี้ว่าเทโลค อะเยอร์ (Telok Ayer) ชื่อท้องถิ่นของไชน่าทาวน์ก็คือ "นุ่ย ชี ซุย" (Niu Che Shui - แปลว่า "น้ำเกวียนวัว") ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากการที่ ณ เวลานั้นแต่ละครอบครัวจะต้องมาขนน้ำสะอาดจากบ่อที่ภูเขาแอนเซี่ยง (Ann Siang Hill) และถนนสปริง (Spring Street) ด้วยการใช้เกวียนที่วัวลาก

อย่างไรก็ตาม บางส่วนของไชน่าทาวน์ก็มีคนเชื้อชาติอื่นอาศัยอยู่ เช่นมัสยิดอัลอับราห์ (Al Abrar Mosque) บนถนนเทโลค อะเยอร์ (Telok Ayer Street) และมัสยิดจาเมย์ (Jamae Mosque) และวัดศรีมาเรียมัน (Sri Mariamman Temple) บนถนนเซาท์บริดจ์ (South Bridge Road) ก็เป็นบริเวณที่มีบรรยากาศด้านเชื้อชาติและศาสนาที่หลากหลายของสิงคโปร์  ไชน่าทาวน์มี 4 เขตหลัก ได้แก่ - ครีตา อะเยอร์, เทโลค อะเยอร์, ทันจอง พาการ์ และบูกิต ปาซอร์ - แต่ละเขตก็มีจุดเด่นพิเศษของตนเอง ศูนย์กลางของไชน่าทาวน์จะอยู่บริเวณถนนตรังกานู/สมิท (Trengganu/Smith Streets)

'ลิตเติ้ล
ลิตเติ้ล อินเดีย" (Little India)
เมื่อคุณย่างเท้ามาที่ "ลิตเติ้ล อินเดีย" (Little India) คุณ ควรเตรียมพบกับความเร้าใจได้เลย! คุณจะพบกับกลิ่นเครื่องเทศฉุนกึก มาลัยดอกมะลิ ตามด้วยขุมสมบัติเครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง งานแกะสลักไม้ และผ้าไหมซาหรี่สีสดสวยงดงามน่ามอง หยิบแผนที่ขึ้นมาแล้วเริ่มผจญภัยในดินแดนอันมีสีสันแห่งนี้ได้เลย  ชาวอินเดียกลุ่มแรกที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศสิงคโปร์เดินทางมาที่นี่ในฐานะลูกน้องและทหารของท่าน เซอร์ สแตมฟอร์ด แรฟเฟิล ในปีค.ศ.1819 ต่อมา ปลายศตวรรษที่ 19 มีชาวอินเดียจำนวนมากอพยพเข้ามาหางานทำที่นี่ บางคนก็ทำงานกรรมกรสร้างถนน หรือทำหน้าที่บริการสาธารณะในตำแหน่งต่างๆกัน

ปัจจุบัน ลิตเติ้ล อินเดีย เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวอินเดียในสิงคโปร์ ถนนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศสายนี้มีเครื่องเพชรพลอยสไตล์อินเดีย มาลัยดอกมะลิ และผ้าไหมส่าหรีเป็นจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่เท็กก้าเซ็นเตอร์ (Tekka Centre) และลิตเติ้ลอินเดียอาเคด (Little India Arcade) ที่ กว้างใหญ่ ไปจนถึงร้านค้าขนาดเล็ก ลิตเติ้ลอินเดียแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจที่รอคุณค้นพบ นอกจากนี้ ระหว่างช่วงเทศกาลดีพาวาลี (ปกติแล้วจัดขึ้นในเดือนตุลาถึงพฤศจิกา) ซึ่งก็คืองานแห่งแสงสว่างของชาวอินเดีย ที่นี่จะกลายเป็นแดนสวรรค์ของถนนอันสว่างไสวที่ประดับประดาอย่างงดงามและ เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่มาเลือกซื้อสินค้า คุณจะสังเกตเห็นความศรัทธาของเหล่าสาวกในระหว่างพิธีกรรมไทยพุซาม (Thaipusam) อันมีสีสัน ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมกราและกุมภาพันธ์ของทุกปี   ที่ นี่มีวัดอันวิจิตรตั้งอยู่เคียงข้างกับโบสถ์และมัสยิด นักทำนายดวงชะตาด้วยนกแก้วจะนั่งห่างจากคุณไปห้าฟุต และกลิ่นหอมของเครื่องเทศจากภัตตาคารก็จะลอยออกมายั่วน้ำลายคุณ ถ้าคุณมีโอกาสมาที่นี่ คุณก็ไม่ควรพลาดรอยสักแบบลบได้ "เฮ็นนา" หรือคุณอาจจะลองดื่ม "ชาเท" หรือที่เรียกกันว่า "เทห์ ทาริกก์" (Teh Tarik)

กัมปง กีลาม (Kampong Glam)
กัมปง กีลาม (Kampong Glam)
 - ที่นี่ตั้งชื่อตามต้นกลาม (Glam tree) ที่ เคยขึ้นอยู่มากในบริเวณนี้ ในอดีตเป็นที่ประทับของกษัตริย์ชาวมลายูของสิงคโปร์ ในปัจจุบัน วัง "อิสตานะ กัมปง กีลาม" (วังสุลต่าน) หลังเก่าได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมที่ชื่อว่า ศูนย์วัฒนธรรมมลายู (Malay heritage centre) เพื่อ ใช้เป็นสถานที่แสดงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชุมชนชาวมลายูใน สิงคโปร์ อาคารและสถาปัตยกรรมของที่นี่ได้รับการปฏิสังขรณ์อย่างพิถีพิถัน เพื่อเป็นการอนุรักษ์บรรยากาศและความสมจริงเอาไว้   ถัดจากวังอิสตานะ (Istana) ก็คือ "เทปัก ไซเร" (Tepak Sireh) ซึ่ง เป็นภัตตาคารที่ดัดแปลงมาจากบังกาโลเก่า ที่นี่มีอาหารฮาลาลและการแสดงทางวัฒนธรรมในสภาพแวดล้อมแบบโบราณที่น่าหลงใหล ถ้าคุณโชคดี คุณอาจจะได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับแขกของเราที่งานแต่งงานของชาวมาเลย์แบบ ราชวงศ์   อาคารหลักของกัมปง กีลามก็คือมัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque หรือ Masjid Sultan) ตั้งอยู่บนถนนบัสโซราห์ (Bussorah Street) เป็นมัสยิดขนาดใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ที่สามารถรองรับชาวมุสลิมได้ถึง 5,000 คนในงานชุมนุมสวดมนต์ มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1928 มีจุดเด่นคือโดมสีทองขนาดใหญ่ และเป็นสถาบันทางศาสนาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของสิงคโปร์      ด้านหน้าของมัสยิดจะมีบัสโซรามอลล์ (Bussorah Mall) ที่ นี่จะมีร้านค้าที่ได้รับการบูรณะไว้อย่างสวยงาม เป็นที่ขายเสื้อผ้า สิ่งของ งานฝีมือ เครื่องเรือน และเครื่องเพชรพลอยแบบโบราณ คุณอาจเดินเที่ยวไปตามถนนคานดาฮาร์ (Kandahar Street) เพื่อลองชิมอาหารมาเลย์โบราณก็ได้   ถนนอาหรับ (Arab Street) เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวมุสลิม ที่นี่เคยเป็นแหล่งขายหมวกสำหรับชายชาวมุสลิม (Songkok) คัมภีร์ อัลกุรอ่าน เสื่อรองสวดมนต์ และสิ่งทอแบบต่างๆ ในปัจจุบันนั้น ถนนอาหรับเป็นสถานที่ในฝันของนักออกแบบเสื้อผ้า! ที่นี่มีอุปกรณ์แฟชั่นที่แวววับและหรูหราอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ผ้าลูกไม้เนื้อดี หินมีค่าที่ส่องประกายแวววับ ขนนกกระจอกเทศ พลอยเทียม ด้ายทอง และไหมที่ห่อแบบขายส่ง ผ้าไหมโปร่งแสง และผ้าเส้นทองที่ส่องประกายสีรุ้ง

 สวนนกจูร่ง
 สวนนกจูร่ง
คุณจะบิน กระพือปีก ร่อนลม และล่องลอย... ไปกับเพื่อนกว่า 9,000 ตัวจาก 600 สายพันธ์ สวนนกจูร่งเป็นสวนนกที่น่าประทับใจที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก  สวนนกเพนกวิน (Penguin Parade) ในบรรยากาศเลียนแบบขั้วโลกใต้ ไปจนถึงสวนนกเอเชียอาคเนย์ (Southeast Asian Birds Aviary) ที่คุณสามารถเดินเข้าไปข้างในเพื่อรับชมการจำลองพายุฟ้าผ่าเขตร้อนได้ นอกจากนี้ สวนนกน้ำตก (Waterfall Aviary) ก็เป็นบ้านของนกแอฟริกาที่บินอยู่อย่างอิสระกว่า 1,500 ตัว และสวนน้ำริเวอร์รีน (Riverine) แม่น้ำธรรมชาติจำลองแห่งใหม่ เป็นแหล่งที่อยู่ของเป็ด ปลา และเต่ากว่า 20 สายพันธ์  มี การแสดงนก "ทูเบิร์ดโชว์" คุณจะสามารถชมการแสดงนกฟลามิงโก มาคอว์ นกเงือก แขกเต้า และนกเหยี่ยวได้! หรือจะเริ่มวันใหม่อย่างมีสไตล์ด้วยการรับประทานอาหารเช้ากับนกเลื่องชื่อ ของเราก็ได้  หากท่านต้องการชมสวนของเราจากทุกมุมมอง แนะนำให้ใช้บริการระบบรถลอยฟ้า (Panorail) สุดทันสมัยของเรา แล้วค่อยเดินชมสวนนกของเรา
  สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี

 สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี
          เมื่อ พระอาทิตย์ตก อีกโลกหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น ที่สวนสัตว์ไนท์ซาฟารีของเรา คุณสามารถจ้องดูตาแรดได้ หรือจะฟังเสียงหอนของฝูงหมาไฮยีน่าลาย หรือจะดูยีราฟค่อยๆเดินผ่านทุ่งราบในค่ำคืนอันเงียบสงบ  สวนสัตว์กลางคืนชั้นยอดของเรามีสัตว์กว่า 900 ตัวจาก 135 สาย พันธ์แปลกใหม่ ในแปดเขตที่เราสร้างขึ้นเพื่อจำลองเขตทางภูมิศาสตร์ต่างๆอย่างเช่น ป่าฝนเอเชียอาคเนย์ ป่าซาวานน่าในแอฟริกา หุบเขาแม่น้ำเนปาล ทุ่งหญ้าอเมริกาใต้ และป่าดงดิบในพม่า
คุณ จะเดินชมป่าด้วยตัวเองไปตามทางเดิน หรือจะนั่งแบบสบายๆบนรถรางก็ได้ - ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางใด สวนสัตว์ไนท์ซาฟารีก็เป็นการผจญภัยในป่าที่คุณไม่ควรพลาด


โลกใต้ทะเล (Underwater World)
ตั้ง อยู่ที่เกาะเซนโตซ่า เป็นแดนสวรรค์ในฝันที่เราเปิดให้ท่านรับชมความงามอันน่าประทับใจของโลกใหม่ ใต้ท้องทะเล เรามีหาดทรายและสระน้ำหินตื้นๆ คุณจะเริ่มดำดิ่งสู่ทะเลลึก ผ่านปะการังสีสดและพืชที่มีชีวิตชีวา ก่อนจะถึงอุโมงค์อะครีลิคขนาด 83 เมตร อันน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งเป็นบ้านของฝูงปลาขนาดใหญ่ นักล่าที่ว่ายไปมา และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลแปลกๆอีกมาที่โลกใต้ทะเลแห่งนี้ เราเพาะพันธ์และเลี้ยงดูสัตว์น้ำหลากหลายชนิด เช่น ฉลามครีบขาวและฉลามครีบดำ กระเบนนก และม้าน้ำท้องใหญ่ สถาบันของเรามีบทบาทช่วยในการอนุรักษ์สัตว์สายพันธ์ต่างๆอย่างเช่น เต่าใกล้สูญพันธ์บางชนิด เรายังเป็นผู้นำของโครงการโยกย้ายปะการังในหมู่เกาะเซาท์เทิร์นไอแลนด์ (Southern Islands)


ไนท์ทัวร์  เพลิดเพลินกับสิงคโปร์ยามพระอาทิตย์ตกดิน

บริเวณท่าเทียบฝั่งแรฟเฟิลส์ (Raffles) ที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) จากที่นี่ ท่านจะได้นั่งเรือไปยัง คล้าก คีย์ (Clarke Quay) เพื่อ ดูชีวิตกลางคืนริมฝั่งแม่น้ำ ท่านจะได้เห็นร้านค้า บาร์ ดิสโก้เธค และร้านอาหารเรียงรายตามแนวฝั่งแม่น้ำ เพลิดเพลินกับอาหารมื้อเย็นอันหรูหราที่ร้านอาหารจีน จากนั้นชมวิวผ่านทางสะพาน เบนจามิน เชียร์ส (Benjamin Sheares Bridge) ไปที่ บูกิส วิลเลจ (Bugis Village) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นถิ่นเสื่อมโทรมของกะลาสีเรือเมื่อครั้งทศวรรษ 1960 ปัจจุบัน ที่แห่งนี้มีร้านค้าและแผงขายของมากมายที่ขายสินค้าทุกชนิดนับตั้งแต่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และของใช้ในบ้าน ไปจนถึงเสื้อผ้า ของกระจุกกระจิก และเครื่องประดับต่างๆ  การเดินทางมาที่สิงคโปร์ของท่านจะไม่สมบูรณ์แบบหากไม่ได้แวะที่โรงแรมอันเก่าแก่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ นั่นคือ โรงแรมแรฟเฟิลส์ (The Raffles Hotel) ซึ่งสร้างขึ้นในยุคอาณานิคมและตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ เซอร์ สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) โรงแรมแห่งนี้ได้บูรณะใหม่ให้เป็นโรงแรมที่หรูหราที่สุด และอย่าลืมลองชิมสิงคโปร์ สลิง แบบดั้งเดิมได้ที่นี่ (เลือกซื้อ)



เมืองแห่งความบันเทิง NTUC Lifestyle World – Downtown East


นี่คือเมืองแห่งความบันเทิงที่เป็นอิสระในตัวเอง ที่ NTUC Lifestyle World – Downtown East มีหลายสิ่งหลายอย่างรอคุณอยู่ เช่น อาหารและเครื่องดื่มกว่า 40 รายการ สิ่งบันเทิงต่างๆหากต้องการความหวาดเสียวกลางสายน้ำ ให้ท่านตรงไปที่ สวนสนุกเอสเคป (Escape themed park) ที่นี่มีสไลด์เดอร์สายน้ำที่สูงที่สุดในเอเชีย เดอะฟลูมไรด์ (Flume Ride) – และเครื่องเล่น Cadbury Inverter ที่หวาดเสียวสุดขีดแบบ 360 องศา    ห้ามพลาด ไวลด์ไวลด์เว็ต สวน น้ำแห่งใหม่ล่าสุดและใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ที่นี่มีแพหรรษา สระน้ำคลื่นเทียม อ่างน้ำวน และเครื่องเล่นสไลด์อัพ เพื่อความมันส์สะใจของคุณถึงเวลาอาหารแล้ว คุณเลือกอร่อยได้กับอาหารนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล อาหารไทย อินเดีย มาเลย์ ญี่ปุ่น ตะวันตก อิตาลี และจีน ฟาสต์ฟู้ด ภัตตาคารหรู ร้านชาไข่มุก หรือร้านขายของกินเล่น คุณเลือกได้ตามใจคุณ! ก่อนกลับบ้านอย่าลืมเลือกซื้อของที่ระลึกจากซอยเล็กๆแถวนี้ คุณสามารถหาซื้อของได้เกือบทุกประเภทที่นี่ วันนี้น่าจะเป็นวันหยุดที่คุณประทับใจไปอีกนานทีเดียว! ดินแดนที่คุณจะสนุกอย่างไม่รู้จบ!



บุนพาร์ - ฮาวพาร์วิลล่า (Haw Par Villa)
สร้างในปี 1937 โดยนักธุรกิจเจ้าเสน่ห์ชื่ออาวบุนฮาว ให้แก่พี่น้องชายของเขาที่ชื่อบุนพาร์ - ฮาวพาร์วิลล่า (Haw Par Villa) แห่ง นี้มีลักษณะเหมือนกับบ้านในนิยายพื้นบ้านของชาวจีนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นักท่องเที่ยวหลายคนกล่าวว่าที่แห่งนี้ "น่าหลงใหล เพลิดเพลิน มหัศจรรย์ และสนุกสนาน" ฮาวพาร์วิลล่ามีเอกลักษณ์ในตัวเองไม่เหมือนที่อื่นใดในโลกที่นี่มีรูปปั้น ใหญ่เล็กจำนวนยี่สิบห้าตัว จำลองแบบมาจากตัวละครในเทพนิยายจีนหลายตัว เช่น พระสังกระจาย และ "ฟู ลู่ ชู" (เทพลัทธิเต๋า) จุดน่าสนใจที่พลาดไม่ได้ก็คือ "ลานนรกสิบภูมิ" (Ten Courts of Hell) เป็น การจำลองการตัดสินโทษทั้งสิบขั้นก่อนจุติในภพใหม่ คุณจะเห็นภาพนรกอย่างชัดเจนได้ที่นี่ รูปปั้นเหล่านี้จะทำให้เกิดคุณธรรมขึ้นในใจ และยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมจีนให้แก่ชนรุ่นหลังอีกด้วย



ซีนีมาเนีย (Cinemania)

ถ้าคุณต้องการความตื่นเต้น ลองกระโจนเข้าสู่การเดินทางที่สมจริงจนเหมือนคุณเป็นคนแสดงเองได้ที่นี่!   ซีนีมาเนีย (Cinemania) คือโรงภาพยนตร์เหมือนจริงสไตล์ศตวรรษที่ 21 แห่ง แรกของสิงคโปร์ โรงหนังที่จำลองภาพจริงแบบไดนามิกแห่งนี้มีจุดเด่นคือระบบภาพและเสียงล้ำยุค มีจอภาพขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาสำหรับฟิล์มแบบไฮสปีดที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ มีเอฟเฟคของภาพและเสียงที่ระทึกใจ เสริมด้วยซาวน์แทรคแบบเซนเซอร์ราวด์และเก้าอี้เคลื่อนไหวตามสัญญาณ คอมพิวเตอร์ ผสมผสานกับแรงลมของจริงเพื่อสร้างประสบการณ์การรับชมที่เหลือเชื่อให้แก่คุณ   โชว์ครั้งหนึ่งจะฉายหนังสองรอบ แต่ละรอบจะใช้เวลาราวสี่ถึงห้านาที ภาพที่ฉายจะมีการปรับปรุงใหม่เป็นประจำตลอดทั้งปี  คุณจะแล่นฉิวผ่านเหมืองผีสิง (Haunted Mine) หรือจะนั่งรถไฟเหาะสำหรับเด็ก (Kid Coaster) ในห้องนอนของเด็ก นี่เป็นความทรงจำที่คุณจะลืมไม่ลงเลยทีเดียว!


ศูนย์วิทยาศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Science Centre)

สำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์และรุ่นเก๋าทุกคน ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Science Centre) ที่มีชื่อเสียงก้องโลกแห่งนี้คุณจะเพลิดเพลินไปกับจุดแสดงแบบอินเตอร์แอกทีฟกว่า 850 จุด แล้วคุณจะมองเห็นความงดงามและมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์
เป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะ สวนจลศาสตร์ (Kinetic Garden) คือสวนวิทยาศาสตร์กลางแจ้งแบบอินเตอร์แอกทีฟแห่งแรกของเอเชีย ประกอบไปด้วยรูปปั้น จุดแสดงแบบต่างๆ กว่า 35 จุดอยู่รอบของสวนอันสงบร่มรื่นแห่งนี้ จะมีน้ำตก บ่อน้ำ น้ำพุ และเครื่องสร้างหมอก นอกจากห้องแสดงหลักแล้ว โรงภาพยนตร์โอมนิ (Omni-Theatre) ก็เป็นจุดน่าสนใจหลักอีกแห่งหนึ่งของศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งนี้ ที่นี่สูง 5 ชั้นและมีจอครึ่งวงกลมขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่าศก.ถึง 23 เมตร มีระบบเสียงล้ำสมัยที่ผู้ชมจะได้สัมผัสกับภาพยนตร์อันตื่นเต้นเร้าใจอย่างแน่นอน  โรงภาพยนตร์โอมนิแห่งนี้ยังประกอบด้วยโรงจำลองการเดินทางเสมือนจริง (Virtual Voyages Simulation Theatre) ขนาด 18 ที่นั่ง ซึ่งผู้ชมจะสามารถสัมผัสกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ทั้งทางสายตาและทางร่างกาย ด้วยเรื่องราวผจญภัยยาว 15 นาที


  ท่านใดที่ใจจรดจ่อรออยู่ว่าโรงแรมในประเทศสิงคโปร์มีที่ไหนบ้างก็ได้เวลามา เลือก กันแล้วล่ะค่ะว่า  เตรียมแผนการณ์จะสำรองที่พักในโรงแรมที่ท่านชื่นชอบหรือสนใจจะไปใช้สิทธิ์ พัก  ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 5โรงแรม  ก็ถือว่าสมเหตุสมผล  เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงกว่าประเทศไทยมาก  ลองดูข้อมูโรงแรมในสิงคโปร์ด้านล่างเลยค่ะ   ตัดสินใจได้รึยังคะใจว่าอยากจะเลือกไปพักที่ไหนดี  แต่สิทธิ์ของสมาชิกต่อ 1 รหัสนั้นสามารถใช้สิทธิ์ได้เพียง 1 ครั้งในเวลาที่ให้สูงสุด 3 คืน 4 วัน   จากโรงแรมใดก็ได้ทั่วโลกนั้น   หากท่านไม่ใช้สิทธิ์นี้ครบตามสิทธิ์ที่ท่านได้รับ สิทธ์ของท่านก็สิ้นสุดเพียงแค่นั้น  ไม่สามารถใช้สิทธิ์แบ่งจำนวนวันพักได้แ้ม้จะเป็นโรงแรมเดิมที่ท่านเคยใช้ สิทธิ์ไปแล้วแต่ไม่ครบจำนวนวันตามสิทธิ์สูงสุดที่โกลบอลริชคลับ ได้ให้แก่ท่าน   ก็อยากจะให้ท่านได้รับทราบข้อมูลให้ชัดเจนนะคะ  แต่ถ้าลองมาคิดดูแล้วสิทธิ์ในที่พักนั้นไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยหรือประเทศ เพื่อนบ้านอื่นๆนั้น  มันคุ้มค่ากับการสมัครเป็นสมาชิกเพียงใด  เพราะนอกจากจะได้สิทธิ์จากเรื่องที่พักแล้ว  โกลบอลริชคลับยังมีแผนการตลาดอื่น ที่มอบให้สมาชิกสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่สมาชิก  หากสมาชิกสามารถทำตามแผนการตลาดที่โกลบอลริชคลับได้กำหนดไว้  แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความพอใจของสมาชิกว่าต้องการทำการแผนการตลาดเพิ่อรับผล ตอบแทนหรือไม่  โดยสิทธิ์ในการสร้างผลตอบแทนตามแผนการตลาดสมาชิกสามารถจะใช้สิทธิ์นี่้เมื่อ ใดก็ได้โดยไม่มีวันหมดอายุ และไม่ตองมีการต่ออายุสมาชิกใดๆืั้งสิ้น  แต่สิทธิ์ในการใข้ห้องพักนั้นมีกำหนดเวลาเพียง 1 ปีนับแต่วันที่ทางโกลบอลริชคลับออกอินวอยซ์รับรองการจ่ายเงินการเป็นสมาชิกของท่าน  โดยสิทธิ์นี้ไม่สามารถขยายเวลาได้    มาดูกันเลยนะคะว่ายังมีโรงแรมอะไรอีกบ้าง  ท่านจะได้ตัดสินใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าต้องการสมัครซื้อรหัสสมาชิกกี่รหัสดี



Singapore(รงแรมที่ใช้สิทธิ์สมาชิกได้ในประเทศสิงคโปร์)Flag of Singapore.svg


Hotel Name:Greenhills Elan Hotel
Address:Greenhills
Hotel WebSite:
Rate():4


Hotel Name:Makati Palace Hotel
Address:Makati
Hotel WebSite:http://www.makatipalacehotel.com.ph/
Rate():4


Hotel Name:Astor Hotel
Address:Makati
Hotel WebSite:http://www.hotelastor.com/
Rate():4


Hotel Name:Best Western Hotel La Corona***ST.Ermita
Address:ST.Ermita
Hotel WebSite:http://www.bestwesternhotelmanila.com/
Rate():4


Hotel Name:Antel Spa Hotel Suites
Address:Makati
Hotel WebSite:http://www.antelspahotelsuites.com/
Rate():4




วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กินใ้ห้เผาผลาญ

สภาวะการจราจรและเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาไปออกกำลังกายกันนัก  แต่เรามีวิธีช่วยได้โดยการเลือกกินให้ถูกวิธี  วันนี้ขอนำเคล็ดลับ 1 ในหลายๆวิธีที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายให้ดูดีขึ้นด้วยการเลือกกินอาหารที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่   หนุมๆสาวๆที่นิยมชมชอบการกิน  แต่จะกินอย่างไรไม่ให้อ้วน  ต้องรู้จักเลือกอาหารที่กินเข้าไปและมีอาหารอยู่หลายชนิดที่ยิ่งกินยิ่งเผาผลาญไขมันและแคลอรี่ในร่างกาย  เพราะมีส่วนประกอบที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ   มีอะไรบ้างไปดูกัน

>>แคบไซซิน  พบได้ในพริกขี้หนูสีแดง  ซึ่งสารนี้จะช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย  สามารถเผาผลาญ
ไขมันได้เป็นอย่างดี


>>กาเฟอิน เป็นอีกตัวที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ  กาเฟอีนที่ได้รับก่อนการออกกำลังจะยิ่งเพิ่มการใช้พลังงานและแคลอรี่

>>ชาเขียว หนึ่งในส่วนประกอบของชาเขียวคือ "คาเทชิน" ที่จะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ  มีการยืนยันว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำ  จะสามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้  และดีต่อสุขภาพ  นอกจากนั้นยาเขียวยังใช้ในการจำกัดน้ำหนักที่อาจจะกลับมาหลังจากการลดน้ำหนักอีกด้วย

>>น้ำใส่น้ำแข็ง  การดื่มม้ำเย็นจะทำให้แคลอรี่ถูกเผาผลาญ  ในขณะที่ร่างกายพยายามทำให้น้ำอุ่นขึ้นเพื่อนำไปใช้งาน

>>ไวน์แดง  หากดื่มในปริมาณไม่มาก  สารบางอย่างในไวน์แดงก็จะช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันได้  แต่ก็ไม่ควรดื่มจนมากเกินไป  เพราะไวน์แดงแค่ครึ่งแก้วสามารถให้พลังงานได้ถึง 72 แคลอรี่เลยทีเดียว

>>เกรปฟรุต  เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซี ใยอาหาร และโพแทสเซี่ยมในปริมาณสูง  แถมยังช่วยหยุดการดูดซึมกรดไขมัน  เกรปฟรุตจึงเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี


>>อะโวคาโด  หลายคนเข้าใจว่า อะโวคาโดมีไขมันสูงแต่จริงๆ แล้ว ไขมันเหล่านั้นล้วนเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อ สุขภาพแถมยังช่วยเร่งอัตราการเมตาบอลิซึ่มให้คุณสาวๆ ได้ด้วย
>>โยเกิร์ต  การวิจัยของสหรัฐฯ บอกกับเราว่า คนที่ทานโยเกิร์ตควบคู่ไปพร้อมกับการทานอาหารแต่ละมื้ออยู่เสมอสามารถลด น้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานโยเกิร์ตถึงร้อยละ 22 และลดไขมันในร่างกายได้มากกว่าคนที่ไม่ทานโยเกิร์ตถึงร้อยละ 61 อ้อ...แต่หากจะทานโยเกิร์ตอย่าลืมเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่เติมน้ำตาล หรือผลไม้ลงไปจะดีที่สุดค่ะ


อาหารที่ช่วยเผาผลาญไขมัน

 >>ขิงและกระเทียม  อาหารธาตุร้อนๆ อย่างขิงและกระเทียมจะช่วยทำให้อุณหภูมิในร่างกายของคุณสูงขึ้น ซึ่งจะไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันได้เช่นกัน

>>ข้าวโอ๊ต  คาร์โบไฮเดรตจากข้าวโอ๊ตจะไม่ดูดซึมแล้วแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในร่างกาย เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่า หากทานข้าวโอ๊ตแล้วมันจะช่วยให้น้ำหนักของคุณลดลงได้อย่างน่าแปลกใจ นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังทำให้คุณอิ่มได้นานและทำให้คุณไม่เกิดความรู้สึกอยาก ทานอาหารมากเกินไปด้วย

>>อัลมอนด์  ถั่วอัลมอนด์มีทั้งโปรตีน และไฟเบอร์ในปริมาณสูงแถมยังช่วยเร่งอัตราเมตาบอลิซึมในร่างกายได้ และหากทานอัลมอนด์ทุกๆ วัน จะช่วยระงับความหิวและยังให้สารอาหารชั้นดีในยามที่คุณไดเอ็ตอีกด้วย

นอกจากจะเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญแล้วสิ่งที่จำเป็นอีกสิ่งหนึ่ง  คือต้องรู้วิธีการนำมาใช้อย่างถูกต้องอีกด้วยนั่นคือ วิธีกินเพิ่มระบบเผาผลาญ  งั้นเรามาดูกันว่าต้องทำอย่างไร

1. กินบ่อยแต่แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ การกินอาหารวันละ 4-6 มื้อ จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญตลอดทั้งวันและลดน้ำหนักได้มากขึ้น คน ที่ทิ้งช่วงการกินระหว่างมื้อต่อมื้อนานเกินไป ระบบเผาผลาญจะปรับตัวให้ทำงานช้าลงเพื่อชดเชยกับการไม่ได้กิน แต่ถ้ากินมื้อใหญ่เกินไป ระบบเผาผลาญจะทำงานเสมือนว่าคุณกำลังอดอยาก จึงสงวนแคลอรีทั้งหมดที่กินไว้เพื่อสะสมเป็นเสบียงยามขาดแคลน


 2. ห้ามอดมื้อเช้า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆจะอ้วนง่ายกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ ร่างกายคน เราต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อจะทำงานได้ทั้ง 24 ชั่วโมง ดังนั้น การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งจึงทำให้ร่างกายเข้าสู่ระบบสงวนพลังงาน โดยการลด อัตราการเผาผลาญลง และทำให้ร่างกายเก็บสะสมพลังงานอย่างเต็มที่ในรูปของไขมัน อาหารเช้าที่มีคุณภาพได้แก่ ข้าว(ซ้อมมือ)ต้มเครื่อง หรือขนมปังไข่ดาว 


3. เพิ่มอาหารโปรตีน โดยปกติ อาหารจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ หลังจากที่กินไปแล้ว 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่อาหารโปรตีนต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 25% ในการย่อย ฉะนั้นอาหารว่างที่มีโปรตีนสูงจึงทำให้การเผาผลาญทำงานได้ดีกว่า(เล็กน้อย)เมื่อ เทียบกับอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง(โดยที่มีแคลอรีเท่าๆ กัน)

4. เติมเครื่องเทศรสเผ็ด มีงานวิจัยว่า พริกหรืออาหารรสจัดสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้ 20% เป็นเวลาถึง 30 นาที งานวิจัยในสตรีชาวญี่ปุ่นรายงานว่า พริกสีแดงช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อกินพริกแดงกับอาหารไขมันสูง นอกจากนี้ ยัง มีงานวิจัยขนาดเล็กพบว่านักกีฬาชายที่กินพริกแดงกับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต สูง มีอัตราระบบเผาผลาญสูงขึ้นทั้งขณะที่มีกิจกรรมและไม่มีกิจกรรมหลังการกินอาหาร 30 นาที แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเพิ่มการทำงานได้นานแค่ไหน ผลดีของการกินพริกคือช่วยให้กินผักได้เพิ่มขึ้น แต่ผลการเพิ่มอัตราการเผาผลาญนั้นเพียงเล็กน้อย จึงต้องใช้ความพอดีในข้อนี้ให้มาก 


5. ดื่มน้ำตลอดวัน น้ำเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากดื่มน้ำน้อยไประบบเผาผลาญจะลดลงเหมือนขาดอาหาร โดยตับจะเก็บน้ำไว้ แทนที่จะนำไปใช้ในหน้าที่อื่นๆ เช่น เผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำเย็นๆจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญได้เล็กน้อยจากการที่ร่างกายต้อง รักษาระดับอุณหภูมิในร่างกาย ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG (epigallocatechin gallate)ที่ มีฤทธิ์สูง หากดื่มขณะที่กินอาหาร จะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ 24 ชั่วโมงได้ 4 % (คาเฟอีนเพียงอย่างเดียวไม่แสดงผลนี้) แม้ชาเขียวจะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดีกว่าและนานกว่ากาแฟ แต่การดื่มชาเขียวโดยไม่ควบคุมปริมาณอาหารที่กินตลอดทั้งวัน ก็ไม่อาจช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ 


6. เลี่ยงน้ำตาลและของหวาน การกินของหวานมากๆ จะช่วยส่งเสริมให้ระบบเผาผลาญเก็บสะสมไขมันมากกว่าการเผาผลาญไขมันออกไปใช้ นอกจากนี้ น้ำตาลยังเป็นพลังงานส่วนเกินที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย
คล็ดที่ไม่ลับเลกๆนี้นำมาฝากสมาชิกโกลบอล ริช คลทุกท่านที่เพลิดเพลินกับการนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน  และท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านบทความนี้   บางครั้งการที่ไม่ต้องเดินทางออกไปไหนเพื่อสร้างรายได้  ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านมีการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมน้อยลง  และนำมาซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มกว่าปรกติ   จึงนำข้อมูลดูแลสุขภาพนี้มาฝากกัน   ขอให้ทำงานอย่างมีความสุขและอย่าลืมใส่ใจสุขภาพด้วยนะคะ