วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปิยมหาราช วันหยุด กับทีมาของวันหยุด

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เจอฝนกระหน่ำทุกวัน   เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูฝน  ประกอบกับได้รับผลกระทบจากพายุหลายลูกที่โหมกระหน่ำประเทศเพื่อนบ้านของเราเล่นเอาอาการหนักไปหลายประเทศ  โดยเฉพาะ "แกมี "ที่เราหวาดผวากันมากแต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี  จนมาถึงช่วงเวลานี้ก็กำลังก้าวย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว  หวังว่า  คงจะไม่มีพายุลูกไหนหลงมาสร้างความเสียหาย เดือดร้อนกับภาวะน้ำท่วมเหมือนปี2554 อีก  แต่บางทีเทวดาท่านก็ช่างแกล้งนะ  ทั้งวันอากาศปลอดโปร่ง  ท้องฟ้าสดใส  แต่พอจะเลิกงานมาเลยฝนโครมๆ เหมือนเปิดน้ำฝักบัวแบบแรงๆ   แหม มาแบบไม่ได้ให้ตั้งตัวเลย   แถมท่านขี้เล่นนะ เทวดาท่านนี้ท่านแกล้งบ่อยมาก  บางครั้งพักกลางวันแดดแจ๋นั่นแหละ  แต่เทวดาท่านเปิดฝักบัวเฉย  นั่งเปิดประตูรถอ่านหนังสือพิมพ์  เอ๊ะ ใครแกล้งฉีดน้ำใส่ เล่นบ้าๆ   พอมองหา ที่มาเพื่ิอต่อว่าซะหน่อย ที่ไหนได้   เทวดาแกล้งเอง  ต้องรีบปิดประตูรถแล้วก็ค้อนฝนฟ้าไปตามเรื่อง

วันนี้เป็นวันพิเศษไม่ได้ไปทำงาน  และยังไม่มีใครมาใช้โน๊ตบุ๊ค  เลยรีบชิ่งมานั่งดูเมล์ FB  แล้วก็คิดได้ว่าวันหยุดวันนี้เป็นวันที่มีความหมายมาก  เพื่อให้เราได้มีโอกาสรำลึกถึงพระมหากษัตรย์พระองค์หนึ่ง พระผู้ได้รับฉายาว่ามหาราช  อันเนื่องมาจากคุณูปการที่ได้ทรงกระทำต่อประเทศชาติและพสกนิกรของพระองค์เอง    มาติดตามกันนะคะว่าเหตุใดท่านถึงได้รับการถวายพระนามว่า "มหาราข "


วันปิยมหาราช คือ วันอะไรมีความสำคัญอย่างไร

UploadImage 

         วันจันทร์ ที่ 24 ตุลาคม 2554 เป็นวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราช(วันอาทิตย์ ที่ 23 ตุลาคม 2554) แล้วน้องๆ รู้ไหมว่า วันปิยมหาราชมีความสำคัญต่อคนไทยอย่างไร แล้วทำไมจึงต้องมีวันปิยมหาราชด้วย วันนี้ศูนย์ข่าวการศึกษาไทยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาและความสำคัญของวัน ปิยมหาราชมาฝากค่ะ

         พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ การประกาศเลิกทาส ทำให้ปวงชนชาวไทยได้เป็นไทมาจวบจนทุกวันนี้ 

          ในรัชสมัยของพระองค์ สยามประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความวัฒนาให้กับชาติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การไฟฟ้า การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ ด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึง น้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า "พระปิยมหาราช" หรือพระพุทธเจ้าหลวง และกำหนดให้ทุกวันที่ 23 ตุลาคม เป็น วันปิยมหาราช 
UploadImage

ความเป็นมาของวันปิยมหาราช

          เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เนื่อง ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพ รักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า

          ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช" และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ

          เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น "กรุงเทพมหานคร" ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็น "สำนักพระราชวัง" ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติฉัตร 5 ชั้น ประดับโคมไฟ ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึง ปัจจุบัน

          พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วันปิยมหาราช ครั้งแรกเกิดขึ้นถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้วเสด็จฯ ไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์



พระราชประวัติ

UploadImage
          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ" ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมขุนพินิตประชานาถ" บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

          เนื่องจากขณะ นั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช

          ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม

          ในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน

          เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 และนับจากนั้นมาก็ทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน 

          ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ดัวยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี



พระราชกรณียกิจ

 1.การเลิกทาส

          เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า มีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่ สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องเลิกทาสให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะทาสมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้ เมื่อไม่มีทาส บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจและก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิด ขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี และพอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิงจากนั้นใน พ.ศ.2448 จึงได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124" (พ.ศ.2448) เลิกลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป และการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

          ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในเวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยไม่เกิดการนองเลือดเหมือนกับประเทศอื่นๆ 


 2.การปฏิรูประบบราชการ

          ในสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน จากเดิมมี 6 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงลาโหม, กระทรวงนครบาล, กระทรวงวัง, กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตราธิการ ได้เพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา, กระทรวงยุติธรรมมี หน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่างๆ , กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง และกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ


 3.การสาธารณูปโภค 

           การประปา ทรง ให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452

           การคมนาคม วัน ที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย

          นอกจากนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน และถนนอีกมากมาย คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น และโปรดให้ขุดคลองต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก

           การสาธารณสุขเนื่อง จากการรักษาแบบยากลางบ้านไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431

           การไฟฟ้า พระองค์ ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433

           การไปรษณีย์ โปรด ให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โดยโทรเลขสายแรกคือ ระหว่างจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) กับจังหวัดสมุทรปราการ


 4.การเสด็จประพาส

          การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหลังจากเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ. 2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย อีกทั้งยังได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้น

          ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาตลอดระยะทางถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรม ราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ "พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน" ให้ความรู้อย่างมากมายเกี่ยวแก่สถานที่ต่างๆ ที่เสด็จไป

          ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่างๆ เป็นการตรวจตราสารทุกข์สุขดิบของราษฎรได้เป็นอย่างดี พระองค์ จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ โดยเสด็จฯ ทางเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า "ประพาสต้น" ซึ่งได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง


 5.การศึกษา 

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ "โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น"โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ" ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา


 6.การปกป้องประเทศจากการสงครามและเสียดินแดน 

          เนื่องจากลัทธิจักรวรรดินิยมได้แผ่อิทธิพลเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังที่จะรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติ การณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม โดยดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่

           พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสองจุไทย
           พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีไว้
           พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี แต่ฝรั่งเศสได้ยึดตราดไว้แทน
           พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับตราด และเกาะทั้งหลาย แต่การเสียดินแดนครั้งสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใดๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส ไม่ต้องไปขึ้นศาลกงสุลเหมือนแต่ก่อน

          ส่วนทางด้านอังกฤษ ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ.2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทย และยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษ เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ



 ลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น 

           พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ

           พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์

           พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา, โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย

           พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่, โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน, โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง

           พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี, โปรดให้เลิกประเพณีหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้า

           พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่น ดิน, ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง

           พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ–สมุทรปราการ, สมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน

           พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนคร, ตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2

           พ.ศ.2427 โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม

           พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน

           พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ ฝรั่งเศส, เริ่มการทดลองปกครองส่วนกลางใหม่, เปิดโรงพยาบาลศิริราช, โปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน

           พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม, ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา

           พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ, กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)

           พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก

           พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส

           พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง

           พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า

           พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต



พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมรูปทรงม้า
UploadImage

          ด้วย พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างอนุสาวรีย์ถวายเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระ เกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ผู้ทรงสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม และเนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองราชย์นานถึง 40 ปี 

          พระบรมรูปทรงม้านี้ หล่อด้วยโลหะชนิดทองบรอนซ์ พระองค์ใหญ่กว่าขนาดจริงเล็กน้อย ประดิษฐานบนแท่นหินอ่อนอันเป็นแท่นรองสูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตร ห่างจากฐานของแท่นออกมามีรั้วเตี้ยๆ ลักษณะเป็นสายโซ่ขึงระหว่างเสาล้อมรอบกว้าง 9 เมตร ยาว 11 เมตร ที่แท่นด้านหน้ามีคำจารึกบนแผ่นโลหะติดประดับสรรญเสริญว่า "คำจารึกฐานองค์พระบรมรูปทรงม้า ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลล่วงแล้ว 2451พรรษา จำเดิมแต่พระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ได้ประดิษฐาน แลดำรงกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยาเป็นปีที่ 127 โดยนิยม"

          สำหรับแบบรูปของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ได้จ้างช่างหล่อชาวฝรั่งเศส แห่งบริษัทซูซ เซอร์เฟรส ฟองเดอร์เป็นผู้หล่อ ณ กรุงปารีส เลียนแบบพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าพระราชวังแวร์ซายส์ ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2450 พระองค์ได้เสด็จประทับให้ช่างปั้นพระบรมรูป เมื่อวันที่ 22 สิงหคม ศกนั้น พระบรมรูปเสร็จเรียบร้อย และส่งเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ในทางเรือ

          เมื่อ พ.ศ.2451 โปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระลานหน้าพระราชวังดุสิต ระหว่างพระราชวังสวนอัมพรกับบสนามเสือป่า ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมรูปนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 ตรงกับวันพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกครองราชสมบัติได้ 40 ปี 

          เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมรูปทรงม้า ขึ้นประดิษฐานบนแท่นรองที่หน้าพระลานพระราชวังดุสิต ที่ประจักษ์อยู่ในปัจจุบันนี้ โดยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงอ่านคำถวายพระพรชัยมงคล เสร็จแล้วจึงน้อมเกล้าฯ ถวายพระบรมรูปทรงม้า กราบบังคมทูลอัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช พระราชบิดาให้ทรงเปิดผ้าคลุมพระบรมราชานุสาวรีย์เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อประกาศเกียรติคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ให้สถิตสถาพรปรากฏสืบไปชั่วกาลนาน 

กิจกรรมใน วันปิยมหาราช
UploadImage

          ในวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี หน่วยงานต่างๆ ทั้งราชการและภาคเอกชน นักเรียน-นิสิตนักศึกษา รวมทั้งประชาชนจะมาวางพวงมาลาดอกไม้สักการะ และถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว และทำบุญตักบาตอุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว นอกจากนี้ในหน่วยงาน และโรงเรียน มหาวิทยาลัย จะจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นการประกาศเกียรติคุณให้ไพศาลสืบไป


   ่ะ  นอกจากท่านผู้อ่านจะได้หยุดพักผ่อนแล้วยังมีโอกาสไดรับเกร็ดความรู้  เกี่ยวกับความเป็นมาของวันหยุดนี้  นับได้ว่าเป็นวันหยุดที่ค้มค่าจริงๆค่ะ  

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะผ่านพ้นเทศกาล กินเจ

เทศกาลกินเจสำหรับปี 2555  ซึ่งอย่ในช่วงระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม- 23ตุลาคม นั้นได้ดำเนินมาถึงครึ่งทาง   หลายๆท่านก็แสดงเจตน์จำนงค์ที่จะปฎิบัติตัวเป็นผู้ถือศีลกินเจให้ครน 9 วัน  แต่บางท่านที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารเจ  ก็อาจปฎิบัติเพียงเท่าที่สามารถทำได้ อาจเป็น 3-5-7 วัน ด้วยเหตุผลที่ว่าบางท่านอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สะดวกต่อการซื้อหาอาหารเจ  แม้เดี๋ยวนี้ตามร้านสะดวกซื้อจะมีอาหารเจสำเร็จรูปขาย  แต่ก็ยังคงมีรายการอาหารเพียง3-4อย่างให้เลือก   พอรับประทานไป  3-4วัน บางคนเริ่มเบื่อ  และอยากกลับไปทานอาหารธรรมดา   ซี่งมีมากมายรายการและหาซื้อได้ง่าย  ประกอบกับราคาอาหารธรรมดาก็ยังถูกกว่าอาหารเจด้วย   จึงทำให้บางคนไม่สามารถกินเจได้ครบวัน   ซึ่งการปฎิบัตินี่ก็ยึดเอาความสะดวกและความพอใจของแต่ละบุคคล   สำหรับตัวผู้เขียนเองก็กินเจมาตั้งแต่วันที่15 ตุลาคม  จนภึงวันนี้ก็รวมเป็นวันที่ 6 เนื่องด้วยอยากร่วมทำทานแก่ชีวิตสัตว์ประการหนึ่ง  อีกเหตุผลคืออยากให้ร่างกายเราทำงานน้อยลงได้พักผ่อนช่วงยาวเพิ่มขึ้น  แม้ว่าปรกติการบริโภคอาหารจะมีบางวันซึ่งเป็นวันเกิดผู้เขียนก็กินเจอยู่ แล้ว  แต่ก็เป็นเพียงสัปดาห์ละครั้ง    เมื่อมีโอกาสได้ร่วมทำทานกับคนหมู่มากก็ง่ายในการปฎิบัติกิจกรรมและในการบริ โภค   แม้ว่าในพื้นที่ที่ทำงานและอยู่อาศัยราคาของอาหารจะค่อนข้างสูง    แต่็สะดวกมากขึ้นในการซื้อหาเทียบกับช่วงนอกเทศกาล    สำหรับบางคนก็มีควารู้ความเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเทศกาลกินเจ  แต่บงคนก็อาจยังสงสัยอยู่ ผู้เขียนเลยขอถือโอกาสนำประวัติของการกินเจมาถ่ายทอดสู่กันฟัง อีกครั้งค่ะ  ตามมาเลยนะคะ

ประวัติการกินเจ

         เทศกาลกินเจเดือนเก้า หรือ เทศกาลกินเจ (เก้าอ๊วงเจ หรือ กิวอ๊วงเจ) เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านานของชาวจีน โดยจะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนของทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน ผู้คนส่วนหนึ่งจะไม่กินเนื้อสัตว์   ทำให้ได้ช่วยชีวิตสัตว์ไว้ได้ส่วนหนึ่ง   เนื่องจากมีการฆ่าสัตว์น้อยลง    ผู้คนที่ศรัทธาในพุทธศาสนาจะพากันสละกิจโลกียวัตร  และ พากันเข้าวัดวาอารามบำเพ็ญศีลสมาทาน   กินเจ  คือ บริโภคแต่อาหารจำพวกพืชผัก และ ผลไม้เป็นหลัก    ละเว้นไม่กระทำกิจใด ๆ อันนำมาซึ่งการเบียดเบียนเดือดร้อนให้เกิดแก่สัตว์โลก   คือการไม่เอา ชีวิต เลือด เนื้อของสัตว์โลกให้มาเป็นของเรา   พากันซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา และ ใจ  สวมเสื้อผ้าขาวสะอาด   เข้าวัดเข้าวา  พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน   ทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้   ถือศีลกิจเจเป็นเวลา  9  วัน ผู้ถือศีลกินเจ จะมีการชำระกระเพาะให้สะอาดก่อน  โดยการกินเจในมื้อเย็นก่อนวันจริง  1  มื้อ และ  มื้อเช้าหลังวันที่เก้าขึ้น  9  ค่ำอีก  1  มื้อเป็นการลา  ซึ่งจะเป็นวันส่งเจ้า  ในช่วง  9  วันนี้  ทุกวันคี่ จะถือเป็นวันเจใหญ่  พุทธบริษัทจะไปทำบุญ และ กินเจที่ศาสนสถาน  นอกนั้นจะถือศีลกินเจที่บ้านเทศกาลกินเจ    มาจากคำบอกเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นเชิงปรำปรา  และ มาจากคำสอน ความเชื่อทางศาสนาพุทธ   ฝ่ายนิกายมหายาน  เป็นกุศโลบายให้คนทำความดี  เหมือนเช่นเรื่องอื่นๆ    แต่คนรุ่นหลังได้มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งพิธีการ เพื่อให้เกิดความขลัง  ให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น   จึงทำให้กลายเป็นพิธีการที่ต้องใช้เงินใช้ทองมากมายในการประกอบพิธีให้ครบ ถ้วน
ตำนานที่มาของการกินเจ มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่

           ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง 9
          เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่าง กายและจิตใจ

           ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า
          เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว

           ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน
          กล่าวไว้ว่า การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร โพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง")
ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง ซึ่งได้แก่ คือ
1.พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ (ดาวไท้เอี้ยงแช คือ พระอาทิตย์)
2.พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ (ดาวไท้อิมแช คือพระจันทร์ )
3. พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ(ดาวฮวยแช คือ ดาวอังคาร)
4 พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ(ดาวจุ้ยแช คือ ดาวพระพุทธ)
5.พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ(ดาวบักแช คือ ดาวพฤหัสบดี)
6. พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ(ดาวกิมแช คือ ดาวพระศุกร์)
7. พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ(ดาวโท้วแช คือ ดาวพระเสาร์)
และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือ
1.ใพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์(ดาวล่อเกาแช คือพระราหู)
2.พระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร โพธิสัตว์ (ดาวโกยโต้วแช คือ พระเกตุ)
รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ ทั้ง 9 ได้แก่
พระอาทิตย์, พระจันทร์, ดาวพระอังคาร, ดาวพระพุธ, ดาวพระพฤหัสบดี, ดาวพระศุกร์, ดาวพระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
โดยกล่าวกันไว้ว่า พระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์รวมเป็น 9 พระองค์หรือ “เก้าอ๊อง” ซึ่งได้ทรงตั้ง ปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
           ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง
           เชื่อว่าการกินเจกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการ เมือง ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่ อีกทอดหนึ่ง

           ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย
        เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย     คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย  เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

           ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง
           มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้ ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน เขาจึงขอตามนางไปด้วย  เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภาณ์ขาวสะอาด นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น

           ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต
     มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกระทู้นานเป็นแรมปี บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน หากจะถือตาม นิยายปรำปราอิงประวัติศาสตร์ในปลายราชวงศ์ซ้อง ซึ่ง บันทึกไว้ในหนังสือ “ประวัติวัฒนธรรมจีน”  เรียบเรียงโดย   ล.เสถียรสุต  เล่าไว้ว่า   กษัตริย์องค์สุดท้ายมีพระชนม์ชีพเพียง  9  พรรษา เสด็จหนีพวกมงโกลไปยังเกาะไต้หวัน  แต่ได้สิ้นพระชนม์ชีพที่กลางทะเลนั่นเอง   ข้าราชบริพาร  พากันแต่งกายไว้ทุกข์  และ จัดพิธีทางศาสนาพุทธเป็นการอำพราง  แต่สิ่งของต่าง ๆ  ในพิธีเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่กษัตริย์จีนใช้  และ ในพิธียังใช้ราชาศัพท์   ชาวจีนแต้จิ๋วที่เดินทางมาจากฮกเกี้ยนที่ซึ่งกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ ซ้องเหยียบแผ่นดินเป็นแห่งสุดท้าย   ได้นำพิธีดังกล่าวมาประเทศไทยด้วย
  
           เมื่อถึงขึ้น  1  ค่ำ เดือน 9  ตามจันทรคติจีน   เทพเจ้าทั้ง 9 จะผลัดเปลี่ยนกันมาตรวจโลก  คอยให้คุณให้โทษแก่ประชาชนทั่วไป  ด้วยความที่เทพเจ้าทั้ง 9 ทรงมีน้ำพระทัยเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาคุณ   ควบคุมให้ถึงพร้อมด้วยความบริบูรณ์ทางธรรม  สอดส่องควบคุมทุกข์สุขของสัตว์โลกด้วย  บัณฑิตโบราณจึงบัญญัติไว้ว่า  การทำพิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์   เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ  ให้พุทธบริษัทมาประชุมบำเพ็ญกุศลวัตรถวายพุทธบริโภค  รักษาศีล  สดับฟังพระอภิธรรม และ ธรรมเทศนา  บริจาคไทยทาน  ทิ้งกระจาด และ ลอยกระทงแผ่กุศลแก่สัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากในนรกอเวจี  อันมีเปรตอสูรกายเป็นอาทิ และ ทำการปล่อยนกปล่อยปลา  เต่า เป็นต้น
  ส่วนความเชื่ออันเป็นที่มาของการถือศีลกินเจของภาคใต้  โดยเฉพาะที่ภูเก็ตนั้น   มีที่มาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และ พระโพธิสัตว์เช่นกัน และ มีชื่อพระพุทธเจ้าต่างออกไปบ้างแต่สุดท้ายก็แบ่งภาคมาเป็น นพราชาเหมือนกัน   เบื้องต้น มาจากแคว้น กังไส   พระราชโอรสทั้งเก้าเสียชีวิตในสงคราม   และจุติเป็นวิญญาณอมตะเที่ยวสอดส่องดูแลทุกข์สุขของชาวเมืองกังไส  และได้แนะนำให้เศรษฐีผู้ใจบุญให้ถือศีลกินเจ ผลไม้ 5 อย่าง  ผัก 6 อย่าง พร้อมกับจุดตะเกียง  9 ดวง  อันหมายถึงพระราชโอรสทั้ง 9 พระองค์   ในระหว่างกินเจ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามของคาวทุกชนิด   ห้ามดื่มของมึนเมาเป็นต้น  เศรษฐีเห็นว่าพระราชโอรสได้สอนและหายตัวไปในวันที่ 1 เดือน 9  จึงได้กินเจวันดังกล่าวเรื่อยมา   ต่อมาคณะงิ้วผ่านมาเห็นเป็นเรื่องน่ารู้จึงนำเรื่องราวไปแต่งเติมและเล่น งิ้วเผยแพร่ไปทั่ว  พิธีกินเจที่คณะงิ้วนำไปแสดงนั้นมีกำหนดพิธีการต่าง ๆ  เป็นขั้นเป็นตอนเช่น  พิธีอัญเชิญพระอิศวรมาประทับเป็นประธานในพิธีกินเจ    พิธีสักการะนพราชา  พิธีปล่อยทหารเอกออกไปรักษามลฑณพิธี  พิธีเลี้ยงอาหารทหาร  พิธีเรียกทหารกลับ   พิธีลุยไฟ  พิธีสะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตา   และจบด้วยพิธีบวงสรวงดาวนพเคราะห์  ซึ่งพิธีกินเจบางแห่ง  เช่นทางภาคใต้ของไทยมีการแสดงทรมานกาย  มีการแสดงทางทหารเช่นการแสดงเอ็งกอ  นั่นก็มาจากคณะงิ้วที่นำมาเผยแพร่นั่นเอง
     การถือศีลกินเจในเทศกาลกินเจเดือน 9  ตามปฏิทินจีนตามข้างต้นนั้น  เป็นความเชื่อที่ถือกันมาแต่โบราณ   เป็นกุศโลบายของนักปราชญ์   ราชบัณฑิต ผู้มีกุศลจิตในสมัยนั้นที่ต้องการให้ผู้คนให้อยู่ในศีลในธรรม   ถือศีลกินเจ  ทำบุญทำทานเพื่อให้จิตใจอ่อนโยน   มีความเมตตา  กรุณาต่อมวลสัตว์โลกทั้งหลาย       แม้ความเชื่อจะต่างกัน  แต่ผลแห่งการกระทำนั้นคือจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ  บุคคลทั่วไปควรจะลดละอกุศลกรรมทั้งมวล  อุตสาหสะสมแต่สิ่งที่ดีงาม   เพื่อรับพรจากเทพเจ้าทั้ง 9 กระองค์  ก็จักทำให้จิตใจเบิกบาน  ผ่องแผ้ว มีแต่ความสุข   ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตสืบไป
นอกจากนั้น การกินเจยังเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้งดเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยตั้งปณิธานการกินเจ งดเว้นอาหารคาวด้วยการสมาทานรักษาศีล 3 ข้อ คือ
  1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตคน
  2. เว้นจากการเอาเลือดของสัตว์มาเพิ่มเลือดตน
  3. เว้นจากการเอาเนื้อของสัตว์มาเป็นเนื้อตน
เพื่อซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจาและใจ โดยต่างสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างพร้อย พากันมุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่วัดวาอาราม พร้อมด้วยดอกไม้, ธูปเทียน เพื่อไปนมัสการบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ พร้อมจัดหาเครื่องกระดาษทำเป็นรูปเครื่องทรงเสื้อผ้า, หมวก, รองเท้า, กระดาษเงินและกระดาษทองต่างๆ ไปน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะ เป็นกุศลสมาทาน (ซึ่งในอดีตนั้น จะนำเอาวัตถุสิ่งของ เครื่องใช้ปัจจัย 4 นำไปถวายนักบวช, พระ, เณร หรือผู้ทรงศีล และแจกทานด้วยเสื้อผ้าเงินทองที่เป็นของจริงๆ แก่คนยากจน แต่ภายหลังได้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นใช้กระดาษแทนของจริง) หลังจากนั้นก็จะร่วมกันสวดมนต์ ทำสมาธิภาวนา แผ่เมตตาจิตขอพร เพื่อความเจริญ สมบูรณ์พูนสุข
ความหมายของคำว่า “ เจ
        คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า “ อุโบสถ ” คำว่า “ กินเจ ” ตามความหมายที่แท้จริงแล้วคือ การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้วแต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของ ชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่า กินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือ คนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ จึงจะเรียกว่า “กินเจที่แท้จริง ”    ในภาษาจีนมี(กลุ่ม)คำหรือวลีที่ใช้อักษรแจ(เจ, 齋)เป็นตัวประกอบร่วมด้วยหลายคำ แต่คำว่าโป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) ซึ่งเป็นศัพท์ของทางพุทธศาสนา ดูจะเป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อธิบายความหมายของอักษรแจเสมอมาโป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) แปลว่า ศีลบริสุทธิ์แปดประการ ซึ่งก็คือ “ศีลแปด”ที่เรารูจักกันดี คนไทยในรุ่นปู่ย่าตายายที่เคร่งในศีลวัตรจะไปอาราธนาศีลแปดจากพระสงฆ์ในวัน ธรรมสวนะภายในพระอุโบสถ ศีลแปดจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ อุโบสถศีล ” ผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกินเจที่ไม่เข้าใจภาษาและที่มาของคำจึงแปลอักษรแจ ผิดว่า “อุโบสถ” ซึ่งคำแปลนี้ก็ฮิตติดตลาดและถูกคัดลอกไปใช้บ่อยอย่างน่ารำคาญใจ เพราะหากจะเอาตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานแล้วอุโบสถ เป็นคำนาม หมายถึง สถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรมต่างๆ เรียกย่อว่า โบสถ์ การแปลและเข้าใจคลาดเคลื่อนดังกล่าวยังถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการอธิบาย วัตรปฏิบัติของการกินเจผิดตามไปด้วยว่า “การกินเจต้องถือศีลข้อวิกาลโภชน์” หรือการงดกินของขบเคี้ยวหลังเที่ยงวันไปแล้ว ซึ่งเป็นศีลข้อหนึ่งในศีลแปด ทั้งๆที่โรงครัวของศาลเจ้าหรือโรงเจที่เปิดเลี้ยงผู้คนในช่วงเทศกาลกินเจ ล้วนแต่มีอาหารมื้อเย็นให้กับผู้เข้าไปกิน ยิ่งวันที่มีการประกอบพิธีกรรมในตอนค่ำยังมีอาหารมื้อค่ำบริการเสริมให้เป็น พิเศษด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงเทศกาลกินเจนั้นเขาถือเพียงศีลห้าที่เป็นนิจศีล ไม่ได้ครองศีลแปดอย่างที่หลายคนเข้าใจ (เว้นแต่ผู้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะครองศีลแปดเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)ในทาง อักษรศาสตร์จีน อักษรตัว “แจ” มีพัฒนาการมาจาก ตัวอักษร ฉี “ 齊 ” ซึ่งแปลว่าบริบูรณ์ , เรียบร้อย อักษรแจเกิดจากการเพิ่มเส้นตั้งและสองจุด ( 小 ) เข้าไปกลางอักษรฉี ทำให้เกิดตัว ซื ( 示 ) ซึ่งแปลว่าการสักการะ อยู่ในแก่นกลางของตัวฉี แจ( 齋 ) จึงมีความหมายว่า การรักษาความบริสุทธิ์(ทั้งกายและใจ)เพื่อการสักการะ หรือ การปฏิบัติบูชาถวายเทพยดาซึ่งการอธิบายในแนวทางนี้จะสอดคล้องกับ คำว่า “ 齋醮 ” ในลัทธิเต๋า ซึ่งย่อมาจากคำว่า 供齋醮神 ที่แปลว่าการบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นสักการบูชาเทพยดาความหมายของ แจในศาสนาอิสลาม ศัพท์คำว่า ศีลแจ / 齋戒 ในภาษาจีน นอกจากใช้ในลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธแล้ว ยังหมายถึง “ศีล อด” ที่ถือปฏิบัติในเดือนถือศีลอดของชาวจีนอิสลาม สาระของศีลก็คือการห้ามรับประทานอาหารใดๆในระหว่างเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจวบ จนลับขอบฟ้า ตลอดเดือนถือศีลอดแจในวัฒนธรรมดั่งเดิมของจีนศัพท์ แจ พบในเอกสารจีนเก่าที่มีอายุกว่าสองพันปีหลายฉบับ เช่น 禮記 , 周易 , 易經 , 孟子 , 逸周書 (เอกสารที่อ้างนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นคัมภีร์ในลัทธิหยู) เอกสารเหล่านั้นยังใช้อักษรตัวฉี(齊 )แต่เวลาอ่านออกเสียงกลับต้องอ่านออกเสียงว่า ไจ เช่น คำว่า ไจเจี๋ย / 齊潔 หรือ ไจเจี้ย / 齊戒 ซึ่งก็คือการออกเสียงแจในสำเนียงแต้จิ๋วนั่นเอง อักษรฉีในเอกสารนั้นนักอักษรศาสตร์ตีความว่าแท้จริงแล้วก็คืออักษรตัวแจหรือ ใช้แทนตัวแจ แจที่ว่านี้หาได้หมายถึงการงดกินของสดคาว หรือ การงดรับประทานอาหารหลังเที่ยง หากหมายถึงการชำระล้างร่างกาย สงบจิตใจ และสวมใส่เสื้อผ้าใหม่สะอาด เป็นการเตรียมกายและใจให้บริสุทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมสักการะบูชา ขอพร หรือแสดงความขอบคุณต่อเทพยดาแห่งสรวงสวรรค์
        เทศกาลกินเจ   เก๋าอ่วงเจ  หรือ กิ๋วอ่วงเจ แล้วแต่จะออกเสียง  เป็นพิธีกรรมที่พุทธบริษัทไทยเชื้อสายจีนถือปฏิบัติมาแล้วนับสิบ นับร้อยปี โดยทั่วไป  ผู้ที่จะเข้าสู่เทศกาลนี้ จะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมพอสมควร   ผู้ที่ถือเคร่ง  จะนุ่งห่มเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิตลอดทั้งเทศกาล นอกจากจะกินเจเคร่ง  คือการไม่กินพืชผักที่มีกลิ่นหอม หรือ เผ็ดร้อนอันจะนำมาซึ่งกามกิเลศ  เช่น หัวหอม  กระเทียม ไม่กินแม้กระทั่งน้ำนม   ซึ่งผู้กินมังสะวิรัติ   บางส่วนจะถือว่าน้ำนมนั้นกินได้   จะไม่ข้องแวะทางโลกีย์วิสัย   คิด  และ ทำแต่สิ่งที่ดี  ระมัดระวังสำรวมในการพูดจา   ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้อยู่เพียงแค่นั้นว่า   เมื่อถึงเทศกาลนี้  ต้องทำอย่างนี้   แต่จะทราบถึงเหตุที่มาแห่งเทศกาลนี้คงมีเพียงน้อยนิด  แต่ที่มาแห่งเทศกาลกินเจนั้นไม่ได้มีมาแต่ความเชื่ออย่างเดียว  มีที่มาหลากหลาย 
ความหมายของธงเจ
อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว"สี แดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีลธงเจนอกจากเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเตือนพุทธศาส นิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตัวช่วงเทศกาลกินเจ

งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งด นม เนย หรือน้ำมันจากสัตว์
งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรียนรู้......จากอินเตอร์เน็ต

ผู้เขียนจำได้ดีว่าเริ่มหัดเขียนบทความลงBlog เมื่อ 22 กรกฎาคม 2555   วันนั้นใช้เวลาร่วม3 ชั่วโมงเพื่อเรียบเรียงข้อมูล  เสร็จแล้วก็มาถึงขั้นตอนปรับแต่งรูปร่างหน้าตาให้ดูเข้่าท่า(ณ ขณะนั้น) ลองเปลี่ยนหน้าตา เสื้อผ้าไปมา ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ข้อมูลสาปสูญหมด  แทบจะร้องไห้กับเวลาที่หมดไปร่วม  5 ชม  แต่ลุกชายก็ส่ง message มาแบบไม่ใ้ห้เสียกำลังใจว่า กำของม๊า  สู้ต่อไป จนกว่าจะสำเร็จ  แต่เค้าไม่ทำให้นะ  ก็มาช่วยดูแล้วสอนการเลือกรูปแบบ แม่แบบ ว่าต้องทำยังไง  ค่ะวันนั้นบทความอันแรกที่นำมาลงBlog ได้สำเร็จใช้เวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงตี 2 เหนื่อย จิน..จิน    แต่หลังจากครั้งนั้นก็เก็บข้อมูลผ่าน search engine ตลอด ส่วนมากก็ Google แหละ เวลาทำก็เปิด 2 หน้าต่าง  อ่านไปทำไป  เรียนรู้มาตลอด  จาก http://grcbkkyoso.blogspot.com ก็ได้พัฒนาจนมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นหนุ่มในเมืองว่า http://globalrichclub.blogspot.com  จากการเขียนบอกเล่าเรื่องราวธรรมดา  ก็เริ่มนำลิ้งค์เข้ามาเพื่อใ้ห้บทความมีสาระ และสนุกมากขึ้น   ค่ะ ตอบได้ว่าเราต้องเข้าไปเรียนรู้ และหาข้อมูลตลอดเวลาร่วม 3 เดืิอนมานี้  แตการเรียนรุ้เหล่านี้ทำให้รามีพัฒนาการที่ดีขึ้น  จนสามารถมาปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าต่างใ้ห้ดูเป็นหนุ่มในเมืองขึ้นมาได้  และการเรียนรู้นี่เองที่ทำให้เราได้เห็นว่าเราสามารถจะแปลงหน้าตาของ Blog เราเป็นภาษาอะไรก็ได้ที่Google ทำได้  จากที่คิดว่าเดี๋ยวพอเริ่มทำBlogได้คล่องขึ้น เราจะเริ่มทำเป็นภาษาอังกฤษ  แต่พระท่านคงเห็นใจในความมานะ พยายามของเราจน  4-5 วันก่อนได้ลองปรับผมเผ้าหน้าตาให้ดูไม่บ้านนอก  พอทำเสร็จออกมา  ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ Blogใหม่สามารถเปลี่ยนภาษาได้ด้วย   ไม่น่าเชื่อว่าการพยายามทำ ทำ และทำ  ทั้งที่รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้  แล้วตานี้ก็ต้องไปไล่ดูข้อมูลดิบล่ะว่าเราได้ใส่เครื่องประทินอะไรลงไปจึงได้หนุ่มในเมืองหน้าใสขึ้นมาได้อย่างนี้   ขอบคุณความพยายามของตัวเองด้วย  ตลอดจนคติประจำตัวทีว่า   ไม่สำเร็จไม่ล้มเลิก  แม้จะต้องพยายามอย่างแสนสาหัสก็ต้องทำให้ได้   เหมือนสมัยเด็กๆ  เราต้องสอบได้ที่1 ทุกครั้ง  ห้ามให้ใครชิง

  
** ติดต่ิอผู้เขียนblog/สมัครสมาชิก Global Rich Club โทร 087-4949-220หรือmitang41@gmail.com***
written October09,2012  

วันศุกร์ ----> วันสุข



เหน็ดเหนื่อย และ เครียดกับการวางแผนการทำงานมาตั้งแต่วันจันทร์ซึ่งเป็นวัแรกของสัปดาห์เลย   เพราะไหนจะต้องนำข้อบกพร่องผิดพลาดในแผนงานมาแก้ไขแล้ว  ยังต้องมาโปรแกรมจิตใจและหน้าตาให้แช่มชื่น  เพื่อเตรียมpresentงานให้ลูกค้าฟังใหม่     ด้วยสภาพจิตใจที่หวั่นไหวตุ๊มๆต้อมๆ    บอกได้เลยว่ามันเครียด   และกดดันจนแทบทำให้โรคกระเพราะแทบกำเริบที่เดียว  ด้วยเกรงว่างานที่นำมาแก้ไขแล้วยังจะไม่เป็นที่ถูกใจ  พอใจต่อลูกค้า  เพราะตลอดเวลาที่presentก็เห็นลูกค้านั่งฟัง ด้วยสีหน้าเคร่งเขรึมพร้อมกับทำคิ้วขมวดเป็นบางช่วง  ทำให้คิดว่างานเข้าอีกแล้วล่ะซี  นี่มันหนักหนากว่าตอนก่อนแก้ไขอีกรึไง  และพอการpresentเสร็จสิ้นลงลูกค้าก็ยังคงทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ เพียงแต่คำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับทำใ้ห้ภูเขาลูกใหญ่ๆที่ทับอกอยู่นั้นทะลายไปในทันที    เมื่อได้ยินคำกล่าว่า  นี่ผมไม่เข้าใจเลยนะว่าคุณมาทำให้ผมเลียเวลาตั้งหลายวันทำไม ในเมื่อจริงๆเแล้วคุณสามารถเตรียมโครงงานได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้......เฮ้อโล่งอกไปเลย แหมแต่เล่นเอาตูแทบกระเพาะกำเริบเพราะหน้าตาเลย   แม้เมื่อได้ยินคำพูดว่าโครงงานนั้นมันผ่านฉลุย  ยังต้องหยิกขาตัวเองเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง  พร้อมถามออกไปอีกว่าท่านยังต้องการให้แก้ไขส่วนไหนอีกมั้ยคะ   และคำตอบที่ได้รับนั้นก็ทำให้โลกเกิดประกายสายรุ้งแพรวพรายทันทีกับคำพูดที่ว่า  คุณทำได้สุดยอดขนาดนี้แล้วยังจะต้องเปลี่ยนอะไรอีก  เขินเปลี่ยนซิจะกลายเป็นการทำให้ชิ้นงานนี้พังลงไปเลย     แหมเพิ่งรู้ว่าตัวเราก็สุด cool นะเนี่ย  ขอใช้ภาษาฝรั่งหน่อย วันศุกร์นี้มันช่างเป็นวันสุขที่สุดยอดจริงๆ  " Thank God,it's Friday."
** ติดต่ิอผู้เขียนblog/สมัครสมาชิก Global Rich Club  ( for more  information)  โทร 087-4949-220หรือ  mitang41@gmail.com
 


วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อินเดีย 2

การท่องเที่ยวในอินเดีย สามารถเดินทางได้โดยเครื่องบิน รถประจำทาง และรถไฟ ได้สะดวกพอๆ กับขับรถส่วนตัวเอง แต่ที่สะดวกมากที่สุดจะเป็นทางรถไฟความเร็วสูง รถไฟด่วน ซึ่งมีให้เลือกเดินทางไปได้ทุกๆ ที่ต้องการ ในราคาประหยัด และสะดวก อย่างเช่น Rajdhani Express , Shatabdi Express , Mail/Express Trains , Fast Passenger Trains , Passenger Trains , Local/suburban trains, Duronto Express , Jan Shatabdi Express , Garib Rath Express , Superfast Trains.

หรือถ้าใครอยากเดินทางเป็นส่วนตัว จะเลือกใช้เช่าเหมารถก็ได้ แต่ขอบอกว่ากว่าจะไปครบทุกที่ มีหวังคงต้องเตรียมงบไว้มากสักหน่อย

ส่วน เรื่องของอาหารการกิน อาหารพื้นเมืองทั่วๆ ไปของชาวอินเดีย หลายๆ คนคงจะพอเคยผ่านตาหรือลิ้มชิมรสกันบ้างแล้ว ต้องยอมรับว่า อาหารของชาวอินเดียมีหลากหลายมีเมนูให้ลิ้มลองมากๆ แต่ก็แน่นอนว่า อาหารของทุกทีบางเมนูที่มีกลิ่นเครื่องเทศแรงอาจจะไม่ถูกปากคนไทยไปบ้าง  แต่ก็ไม่ทั้งหมดละนะคะ เพราะบางร้าน บางเมนูเขาก็ทำได้ลงตัวทีเดียว  ชนิดว่าติดอันดับต้นๆ ของโลกกันเลย แต่ที่อินเดียเขานิยมทานด้วยมือกัน หากจะทานด้วยช้อนส้อมก็มีบางร้าน ลองหาๆ กันหน่อย แต่ถ้าไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ก็ไม่ต้องห่วงเท่าไหร่ เพราะเขาก็จะเลือกเมนูอาหารที่คิดว่าทานอร่อยไว้ให้แล้ว  แต่สำหรับใครที่เลือกเดินทางไปเที่ยวเอง และหากอยากลองทานข้างทางดูละก็ ต้องบอกว่าไม่ค่อยแนะนำ แต่ถ้าจะทานจริงๆ คงต้องเลือกที่พอรู้จักสักนิดก็จะดี

ส่วนเรื่องที่พักโรงแรมที่ อินเดีย มีให้เลือกหลายแบบหลายราคาคะ  แต่ก็ต้องบอกว่า ราคาเฉลี่ยของที่นี่ ถือว่าไม่แพงมากนักหากจะเทียบกับอีกหลายๆ ประเทศ แต่ถ้าไปแบบนักท่องเที่ยวหน้าใหม่มากๆ อาจถูกบอกราคาแบบบอกผ่านได้ยังไงก็ลองเช็คข้อมูลดีๆ แล้วกล้าต่อรองราคากันดู  ถือได้ว่าพอจะเป็นเสน่ห์อีกอย่างนึงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากทีเดียว แค่ว่าสำหรับสมาชกโกลบอล ริช คลับแล้วล่ะก็หายห่วงค่ะ  เพราะมีโรงแรมในเมือง
Bengalore ถึง 2แห่งให้สมาชิกได้สำรองก่อนการเตรียมแผนการท่องเที่ยว   ถือว่าสุดยอดจริงๆ

ถ้าจะพูดถึง เสน่ห์ของอินเดีย  จริงๆ แล้วนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นทางด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี หรืออาหารท้องถิ่นแล้ว  แหล่งทางเที่ยวทางธรรมชาติที่อินเดีย มีหลายๆ ที่งดงามขนาดที่สามารถบอกได้ว่า เปรียบเสมือนเดินอยู่บนสรวงสวรรค์กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ ,แคชเมียร์ , อุทยานแห่งชาติซูนดาบันส์ (Sundarbans) ซึ่งมีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หายากให้ได้ชม , อุทยานแห่งชาติรันแทมบอร์ ในเมืองชัยปุระ ซึ่งในอุทยานแห่งนี้เราจะสามารถนั่งรถจิ๊บชมวิว ชมสัตว์หาหายาก ชมเสือป่าเสือหุบเขาได้วันละ 2 รอบ เช่า-บ่าย บนเขตสงวน ส่วนจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น ชิมลา Shimla, มัสสุรี่ Mussorie, ดาเจียลิ่ง Darjeeling, ชิลลองShillong and และอุ๊ดดี้ Ooty
.




Tea garden, Darjeeling
และ อีกหนึ่งยอดเขาที่มีชื่อเสียงมากๆ อยู่ในเมืองเลห์ Leh แคว้นลาดักห์  Ladakh รัฐ Himachal Pradesh สำหรับรัฐนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่เทือกเขาหิมาลัยพาดผ่าน จุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมที่สุดของอินเดีย และหุบเขาที่ผู้คนมากมายต่างพากันไปชมนี้มีชื่อว่า Sangla Valley  เป็นสถานที่ที่มีวิวทิวทัศน์และ บรรยากาศงดงามดุจภาพวาด และอย่างไม่
น่าเชื่อที่ในดินแดนที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงเกือบ 3 พันเมตร จะมีทะเลสาปที่สวยงาม  ทะเลสาป Dai Lak ซึ่งมีสำคัญต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นี่ทีเดียว


IMG_74_1.jpg (400×300) 
Sangla Valley


sangla-kalpa-sangla-valley-album.jpg (882×585)
Kalpa Sangla Valley


Dai Lake in Shrinaga

และ ถ้าใครชอบท่องเที่ยวแบบบนเขาสูง  กังต็อก Gangtok เมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสิกขิมก็เป็นอีกที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว และสุดยอดอีกแห่งหนึ่ง  ด้วยภูมิประเทศ บรรยากาศและธรรมชาติที่สวยงาม

 

800px-Gangtok_ropeway.jpg (800×600) 
กระเช้าขึ้นสู่ยอดกังต็อก Gangtok

หลัง จากไปตะลอนเที่ยวไปทั่วประเทศอินเดีย ได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์และงดงามหลากหลาย ที่ไม่อาจมีที่ใดเสมอเหมือน ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมชาวอินเดียจึงมักจะพูดเสมอว่า
“Mera Bharat Mahaan”
ซึ่งมีความว่า  อินเดียสุดยอด เป็นที่สุดของที่สุดนั้นเอง






Hotel Name:Splendid World Hotel
Address: Bengalore
Hotel WebSite:http://www.splendidworld.in
Rate():3


Hotel Name:Fortune Park JP Celestial Hotel Bengalore
Address:Bengalore
Hotel WebSite:http://www.fortunehotels.in/index.aspx
Rate():4



*** ติดต่ิอผู้เขียนblog/สมัครสมาชิก Global Rich Club โทร 087-4949-220หรือmitang41@gmail.com***

written October01,2012